
ในวันที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว โลกเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนหลายคนวิ่งตามไม่ทัน และปัจจัยแทรกซ้อนต่าง ๆ ทั้งโรคระบาดและความขัดแย้งทางการเมืองที่ดูเหมือนยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ แล้วประชาชนตาดำ ๆ อย่างพวกเราจะหากินอย่างสะดวกกันได้อย่างไร?
ฉันเชื่อว่าคำถามนี้คงจะเกิดขึ้นอยู่ในใจของใครหลายคน และยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่ไม่เพียงแค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น แต่มักจะตั้งคำถามเพื่อคาดหวังคำตอบจากคนที่เห็นว่ามีความรู้อยู่บ่อย ๆ แม้กระทั่งตัวฉันเองก็ต้องตั้งรับกับคำถามเหล่านี้เช่นกัน เพราะมักจะมีคนทักเข้ามาทาง Inbox หรือไม่ก็มีข้อความคอมเม้นท์อยู่ใต้โพสต์ที่ฉันแบ่งปันความรู้เรื่องการทำธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ไว้ใน fanpage A-lisa.net เข้ามาอยู่เสมอ ว่าบอกวิธีหาทางรอดในสถาณการณ์ที่โรค Covid-19 กำลังระบาดให้หน่อยได้ไหม? หรือบางคนก็มักบอกว่าธุรกิจโรงแรมตอนนี้ใครทำก็ไปไม่รอด รอเจ๊งอย่างเดียว
แสดงเนื้อหาเพิ่ม คลิกที่นี่
แต่มีโรงแรมที่พักแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนสถานการณ์ของโรคระบาดจะไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไรนัก เพราะพวกเขามีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาพักอยู่ทุกว้นไม่เคยขาด แม้ว่าตอนนี้จะขาดลูกค้าชาวต่างชาติไปบ้างแต่ก็ไม่ได้กระทบกับรายได้สักเท่าไหร่เพราะยังไงก็มีลูกค้าประจำที่เป็นคนไทยแวะเวียนมาพักอยู่เสมอ โรงแรมแห่งนั้นคือ บ้านอากง ริเวอร์ไซด์ โฮมสเตย์ ที่พักในจังหวัดอยุธยาค่ะ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ฉันมีงานที่ต้องเดินทางไปทำที่จังหวัดอยุธยา ฉันได้วางแผนจองที่พักล่วงหน้าผ่านช่องทางของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อใช้สิทธิ์รับส่วนลดที่พัก 40% และคูปองอาหาร 600 บาท เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นของเว็บไซต์อโกด้าและเลือกที่พักในจังหวัดอยุธยา มีโรงแรมหลายแห่งปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอให้เลือก ฉันมีเงื่อนไขในการเลือกจองโรงแรมที่พักเอาไว้ในใจอยู่แล้วว่า อยากหาโรงแรมที่พักขนาดเล็กแต่มีสไตล์เพราะต้องการประสบการณ์จากการเข้าพักเพื่อนำมาแบ่งปันเป็นความรู้สำหรับเขียนเป็นบทความและสอนในคอร์สอบรม แล้ว บ้านอากง ริเวอร์ไซค์ โฮมสเตย์ ก็ขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ อยู่บนเว็บไซด์ ซึ่งราคาที่พักหลังหักส่วนลด 40% จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้วนับว่าเป็นราคาที่โดนใจมาก แต่ฉันก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกที่พักแห่งนี้เพียงเพราะเหตุผลเรื่องของราคา จึงคลิกเข้าไปดูรูปถ่ายของโรงแรมเห็นการตกแต่งเป็นสไตล์จีนย้อนยุค ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบของเก่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วโรงแรมแห่งนี้จึงดึงดูดความสนใจฉันมาก เมื่อคลิกเข้าไปอ่านรีวิวจากลูกค้าก็ได้รับคำชื่นชมเอาไว้มาก และได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมจากเว็บไซต์ด้วย ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจจองห้องพักของบ้านอากง 1 คืนฉันขับรถไปบ้านอากงตามเส้นทางที่ Google Map บอกจนมาถึงที่พักแห่งนี้แบบงง ๆ ในเวลาประมาณห้าโมงเย็น ก็จะไม่ให้งงได้ยังไงหล่ะ มันเข้ามาในซอยแคบ ๆ มองเห็นบ้านสองชั้นหน้าแคบ ๆ อยู่สุดซอยติดป้ายว่า โฮมสเตย์บ้านอากง ซึ่งก็คงมาไม่ผิดที่แน่ ๆ แล้วห้องพักตามรูปถ่ายในเว็บไซต์มันอยู่ตรงไหนหว่า? ถ้าจะโดนรูปถ่ายหลอกซะละมั้ง แถมที่นี่ยังไม่มีที่จอดรถอีกต่างหาก ฉันจึงยังจอดรถติดเครื่องอยู่ที่หน้าบ้านอากงในใจก็คิดว่าจะเอาไงต่อดี ถอยรถออกแล้วไปหาที่พักใหม่ดีไหม? สักพักมีผู้หญิงวัยกลางคนอยู่คนหนึ่งเดินออกมาที่หน้าประตูบ้าน ฉันจึงกดกระจกรถตะโกนบอกเธอว่าจะมาเชคอิน เห็นเธอชี้ไม้ชี้มือไปที่กำแพงฝั่งตรงกันข้ามเพื่อบอกว่าให้จอดรถที่ถนนข้างกำแพงได้ ฉันถึงกับเหวอเพราะกลัวรถจะถูกเฉี่ยว ถนนนั่นมันเป็นทางเข้าสู่ซอยตันและมีรถเจ้าของบ้านที่อยู่สุดซอยขับเข้าออกด้วย แต่สุดท้ายก็ยอมขับรถเข้าไปจอดตามที่เธอบอกแล้วมาลงทะเบียนห้องพัก
จุดลงทะเบียนเป็นเคาเตอร์เล็ก ๆ มีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง เมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้วเธอหยิบแม่กุญแจพร้อมลูกขนาดเล็กให้ฉันหนึ่งชุด พร้อมกับชี้มือขวาออกไปบอกว่าห้องของฉันอยู่ตรงนั้น ซึ่งก็ถัดจากเคาเตอร์ไปนิดเดียวเอง ก่อนเข้าห้องพักฉันถามเธอว่ามีอาหารเช้าบริการด้วยไหม แต่เธอเงียบไม่ยอมตอบเอาแต่สนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ ฉันชักฉุนเพราะหงุดหงิดตั้งแต่เรื่องที่จอดรถจึงถามเธอด้วยเสียงดังขึ้นกว่าเดิมว่า ที่นี่มีอาหารเช้าด้วยไหม? เธอก็ให้คำตอบมาแบบหน้าตาเฉย ๆ ว่าไม่มีเพราะตอนจองมาฉันเลือกจองเฉพาะห้องพักไม่รวมอาหารเช้า แต่หากจะรับอาหารเช้าด้วยก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 50 บาท ฉันพยักหน้าเข้าใจและเดินเข้าไปสำรวจห้องพักสักแป๊บหนึ่งก่อนออกไปหาข้าวเย็นกินพร้อมกับพกอารมณ์ขุ่นมัวไปด้วย
เป็นเวลาประมาณสามทุ่มที่ฉันกลับไปถึงบ้านอากงอีกครั้งพร้อมกับทำใจเรื่องที่จอดรถ กำลังชะลอเพื่อหาที่จอดก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนเดิมออกมาต้อนรับ เธอกุลีกุจอบอกว่าให้ไปจอดรถตรงหลังป้ายโรงแรมที่หน้าปากซอยทางเข้าแทนที่รถของเธอเลย จากนั้นเธอก็รีบคว้ากุญแจเพื่อไปเลื่อนรถให้ฉันจอดแทน
เมื่อหมดกังวลเรื่องที่จอดรถฉันจึงหันไปขอบคุณเธอและชวนเธอคุยเรื่องของที่พักแห่งนี้ เธอจึงเล่าให้ฟังว่าที่นี่เป็นบ้านเก่าของตระกูลอยู่กันมาสามชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่รุ่นอากง รุ่นเตี่ยและเธอซึ่งเป็นรุ่นลูก เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เป็นโรงงานยาสูบและหมักปลาร้าขายส่งให้กับลูกค้าทางแถบอิสาน พอเวลาผ่านไปสิ้นอากงและเตี๋ยจึงหยุดกิจการเดิมและเธอก็นำบ้านหลังนี้มาทำเป็นโฮมสเตย์เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ในขณะที่เธอเล่าเรื่องราวความเป็นมาของบ้านอากง ฉันก็เหลียวมองไปรอบ ๆ เพื่อจะสำรวจ จึงได้เห็นว่าตัวบ้านนั้นมีความยาวออกไปทางด้านหลัง และไม้ที่นำมาสร้างบ้านหลังนี้ก็เป็นไม้สักทั้งหลังและประดับตกแต่างไปด้วยของเก่าของสะสมโบราณที่เธอเก็บเอาไว้ตั้งแต่รุ่นอากง ฉันจึงได้ขอให้เธอถ่ายรูปให้เป็นที่ระลึก เธอก็ตอบรับด้วยความยินดี พาไปถ่ายมุมโน้นมุมนี้ของตัวบ้านอย่างตั้งใจพร้อมกับอธิบายที่มาที่ไปของข้าวของแต่ละชิ้น ซึ่งเมื่อคนชอบของเก่ามาเจอกัน กำแพงในใจของฉันก็เริ่มละลายประจวบเหมาะกับเราเริ่มรู้สึกพูดคุยถูกคอกันมากขึ้น สรุปว่าคืนนั้นเรานั่งคุยกันต่อยาวจนถึงหกทุ่มครึ่ง และฉันตัดสินใจพักอยู่ที่บ้านอากงต่ออีกคืน
เจ้าของบ้านอากงเธอมีชื่อว่า คุณศิริรัตน์ และฉันเรียกเธอว่าพี่ศิริรัตน์ เพราะความสนิทสนมคุ้นเคยที่มันก่อตัวขึ้นมาภายในเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในระหว่างที่เรานั่งคุยกันอยู่นั้นมีลูกค้าที่เข้าพักในคืนนั้นเดินเข้าออกอยู่หลายคนซึ่งพี่ศิริรัตน์ก็พูดคุยถามไถ่เหมือนกับว่าแกเป็นญาติผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง ซึ่งหากไม่รู้ว่าเป็นลูกค้าที่เข้ามาพักที่นี่เหมือนกันก็คงคิดว่าเป็นญาติกันจริง ๆ ซึ่งพี่แกก็เล่าให้ฟังว่าลูกค้าที่มาพักที่นี่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่มาพักบ่อยจนคุ้นเคยกันดี ก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาดมีลูกค้าเป็นชาวต่างชาติทั้งจีนและฝรั่งจองเข้าพักจนเต็มทุกวัน แม้ช่วงนี้จะไม่มีลูกค้าชาวชาติแต่ก็ยังมีคนไทยแวะเวียนมาพักไม่ได้ขาด โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเดินทางด้วยรถไฟเพื่อมาลงที่สถานีรถไฟอยุธยาแล้วเดินทางลัดเลาะเข้าซอยมาพักที่นี่ เพราะต้องการเสพอรรถรสในการเดินทางด้วยรถไฟในแบบย้อนยุค ซึ่งก็ทำให้ฉันถึงบางอ้อทันทีว่าทำไมที่นี่ถึงไม่จำเป็นต้องมีที่จอดรถเพราะลูกค้าของที่นี่ส่วนใหญ่นั้นเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยรถไฟนั่นเอง
พี่ศิริรัตน์เล่าให้ฟังต่ออีกว่าเธอได้บุกเบิกโฮมสเตย์แห่งนี้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน และเมื่อสิบปีที่ผ่านมามีน้องสาวกลับมาช่วยดูแลซึ่งก็คือคนที่ฉันเจอเมื่อตอนเข้ามาเช็คอินครั้งแรก น้องสาวของพี่ศิริรัตน์นั้นไปทำงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์มายี่สิบกว่าปีแล้วเธอจึงพูดและฟังภาษาไทยได้ไม่ค่อยถนัดบางครั้งต้องอาศัยการอ่านริมฝีกปากเอาถึงจะเข้าใจ แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนเธอจะคล่องปร๋อเลย นั่นก็ทำให้ฉันกระจ่างในใจขึ้นอีกครั้งว่าทำไมเธอถึงฟังฉันไม่ค่อยเข้าใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นฉันตื่นนอนแล้วจึงเดินออกไปหากาแฟร้อนกินในโซนที่จัดไว้ให้แขก เมื่อความสว่างมาเยือนก็ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าโซนกาแฟในส่วนที่เป็นร้านอาหารนั้นคืออาคารไม้เก่าที่อยู่ติดกับแม่น้ำป่าสัก อากาศสดชื่นมาก มีเรือบรรทุกสินค้าอยู่ในแม่น้ำส่งเสียงดัง หวูดดดด หวูดดดดด ได้บรรยากาศเหมือนย้อนกลับไปอยู่ในยุคอดีตจริง ๆ และหากคุณอยากบันทึกความทรงจำของที่นี่อย่างดื่มด่ำเขาก็มีชุดไทยสวย ๆ เตรียมไว้ให้ใส่ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปอวดเพื่อน ๆ ด้วยค่ะ
ยังค่ะ ความใจดีของพี่ศิริรัตน์ยังไม่หมดเท่านี้ เนื่องจากที่พักแห่งนี้มีลูกค้าจองเข้ามาพักไม่เคยขาด ส่วนฉันซึ่งไม่ได้จองคืนวันที่สองไว้ล่วงหน้าก็ต้องรอลุ้นในตอนเช้าว่าจะมีห้องว่างหรือเปล่า ซึ่งวันนั้นมันเป็นความโชคดีของฉันแต่อาจจะเป็นความโชคร้ายของที่พักบ้านอากงก็ได้ เพราะเว็บไซต์จองห้องพักมีปัญหาทำให้ลูกค้าไม่สามารถจองเข้ามาได้ทำให้ห้องพักว่างอยู่หนึ่งห้องและเป็นห้องขนาดใหญ่สุด แต่พี่ศิริรัตน์เธอใจกว้างให้ฉันพักห้องนี้ในราคา 500 บาทและยังแถมเมนูอาหารเช้าให้ด้วย ว๊าว!
เมื่อตอนมาทานอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้นฉันก็เห็นพี่ศิริรัตน์อยู่ในครัวกำลังช่วยแม่บ้านเตรียมอาหารเช้าให้ลูกค้า บางครั้งก็วิ่งออกมาเสิร์ฟเองและพูดคุยทักทายลูกค้าทุกคนอย่างเป็นกันเองด้วยความสนิทสนม พอถึงเวลาฉันต้องเช็คเอาท์เพื่อจะออกเดินทางต่อเธอก็โทรมาบอกว่าให้รอก่อนแล้วเธอก็วิ่งเอาน้ำดื่มมาให้หนึ่งขวดเพื่อเก็บไว้ดื่มแก้กระหายระหว่างทาง ฉันรู้สึกประทับใจและขอบคุณมิตรภาพของพี่ศิริรัตน์มากจนแอบสัญญากับตัวเองเอาไว้ในใจว่าถ้าหากมาอยุธยาครั้งหน้าก็จะกลับมาพักที่โฮมสเตย์บ้านอากงอีกอย่างแน่นอนค่ะ เพราะเจ้าของที่นี่ได้แสดงถึงความรักในการทำโฮมสเตย์แห่งนี้ แสดงความเอาใจใส่ต่อลูกค้าจนทำให้รู้สึกว่าฉันมีญาติคนหนึ่งอยู่ที่อยุธยาแล้วหล่ะ
ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโฮมสเตย์บ้านอากงจึงเป็นที่พักที่ครองใจลูกค้าได้อันดับต้น ๆ ของอยุธยาแบบนี้ เพราะเจ้าของธุรกิจโรงแรมอย่างพี่ศิริรัตน์เธอใส่ใจทุกรายละเอียดที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ว่าการมาพักที่นี่เหมือนกับการได้มาพักผ่อนอยู่บ้านญาติจริง ๆ ขอบคุณข้อคิดดี ๆ จากโฮมสเตย์บ้านอากงและพี่ศิริรัตน์ ที่สอนให้รู้ว่าเมื่อเราส่งมอบประสบการณ์และคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ลูกค้าก็จะให้สิ่งตอบแทนที่มีค่ากลับมาแก่เราเช่นกันนั่นก็คือเงินและรายได้ของโฮมสเตย์บ้านอากงที่ไม่ได้หยุดชะงักตามสภาวะเศรษฐกิจของโลกนั่นเองค่ะ















“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ
