
ระบบบริหารจัดการโรงแรมที่ภาษาคนโรงแรมเรียกว่า PMS นั้นเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยบริหารจัดการห้องพักในธุรกิจโรงแรมสำหรับบริหารงานฝ่ายต้อนรับส่วนหน้าเมื่อแขกเข้ามาพักรวมถึงระบบบริหารจัดการงานด้านต่าง ๆ ของโรงแรม และถ้าคุณต้องการนำโปรแกรม PMS มาใช้ จึงจำเป็นมากที่คุณต้องรู้วิธีคิดอัตราค่าบริการเพื่อประกอบการตัดสินใจค่ะ
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
รับชมแบบคลิปวิดิโอ >>>
ฉันเชื่อว่าคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและมีความสุขได้ ด้วยสูตร (ความรู้ + แรงบันดาลใจ + ความรัก) x ความสุข เพราะความสุข คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด มันมีพลังที่จะช่วยคุณขับเคลื่อนทุกอย่างไปสู่ความสำเร็จตามที่ใจปรารถนา และสูตรนี้คือการแบ่งปันความรู้สำหรับคนที่อยากสร้างธุรกิจโรงแรมของตนเองให้ประสบความสำเร็จตามแนวทางของ A-LISA.NET
ระบบบริหารจัดการโรงแรม หรือเรียกกันว่า PMS นั้นย่อมาจาก Property Management System เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยบริหารจัดการห้องพัก ซึ่งปัจจุบันมีใช้กันทั่วไปในธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ทหลายแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริหารงานฝ่ายต้อนรับส่วนหน้า เริ่มตั้งแต่การจองห้องพัก(Reservation) การรับเงินมัดจำ(Deposit) การเข้าพัก(Check In) การบันทึกรายได้ที่แขกเข้ามา(Revenue Post) รวมถึงการเรียกเก็บเงินและการรับชำระเงินเมื่อแขกแจ้งออก(Check Out)
เนื่องจากโปรแกรม PMS มีความนิยมใช้จำนวนมากจึงมีผู้ผลิตหลายรายแข่งขันกันผลิตและพัฒนาโปรแกรมออกมา ราคาของPMS ก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ของการใช้งาน อาจมีราคาตั้งแต่เริ่มต้นใช้ฟรีไปจนถึงหลักแสนหลักล้าน ซึ่งจะเลือกใช้ในช่วงราคาใดก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทของเรา
ในบทความนี้ เราจะมาแบ่งปันความรู้กันเรื่อง วิธีคิดอัตราค่าบริการระบบบริหารจัดการโรงแรม(PMS) เพื่อให้คุณได้รู้แนวทางว่าแต่ละบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมเขาใช้วิธีคิดค่าบริการกันอย่างไรนะคะ
- Lincense-Based Pricing เป็นระบบจัดการโรงแรม (PMS) แบบ Server คิดอัตราค่าบริการตามจำนวนห้องพัก โดยจ่ายค่าLicense แค่เพียงครั้งเดียวเพื่อรับสิทธิการใช้โปรแกรม อัตราค่าบริการเริ่มตั้งแต่หลักร้อยบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาทแล้วแต่แบรนด์และฟีเจอร์ที่ต้องการใช้งาน นอกเหนือจากค่าLincense แล้วบางผู้ผลิตอาจมีค่าบำรุงรักษารายปีหรือเรียกว่า Annual Maintenance(MA) ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างทางโรงแรมกับบริษัทผู้ผลิตค่ะ
ตัวอย่าง การคำนวณราคาสำหรับโรงแรมที่มี 70 ห้อง ราคาขายโปรแกรมห้องละ 5,000 บาท และคิดค่า MA 15% ต่อปี
อัตราค่าบริการ License = 70 ห้อง x 5,000 (ราคาขายโปรแกรมต่อห้อง) = 350,000 บาท
อัตราค่าบริการบำรุงรักษารายปี (MA) 350,000 x 15% = 52,500 บาท
- Subscription-Based Pricing เป็นระบบจัดการโรงแรม (PMS) แบบ Clouds คิดอัตราค่าบริการแบบรายเดือนหรือรายปี
โดยคำนวฯจากจำนวนห้องที่มี มีเรทราคาตั้งแต่ห้องละหลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาทต่อเดือน ถ้าเลือกชำระค่าบริการเป็นรายปีโรงแรมก็จะได้รับส่วนลดพิเศษ
ตัวอย่าง การคำนวฯราคาสำหรับโรงแรมที่มีจำนวน 70 ห้อง ราคาขายโปรแกรมห้องละ 500 บาท
70 ห้อง x ราคาขายโปรแกรมห้องละ 500 บาท = 35,000 บาท สำหรับค่าบริการรายเดือน
70 ห้อง x ราคาขายโปรแกรมห้องละ 500 บาท x 12 เดือน = 420,000 สำหรับค่าบริการรายปี
- Fixed Pricing คือการคิดอัตราค่าบริการแบบเบ็ดเสร็จในราคาเดียว ไม่ว่าโรงแรม-รีสอร์ทจะมีกี่ห้องก็ตาม โดยส่วนใหญ่แล้วโปรแกรมที่ขายโดยใช้การตั้งราคาแบบนี้ จะเป็นโปรแกรมสำเร็จรูป อาจมีบริการหลังการขายหรือไม่มีก็ได้ ราคาของโปรแกรมมีตั้งแต่เริ่มต้นที่หลักพันบาทไปจนถึงหลักแสนบาท
เมื่อรู้วิธีคิดอัตราค่าบริการระบบบริหารจัดการโรงแรม(PMS)ไปแล้ว เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทอย่างเราต้องรู้จักเลือกด้วยนะคะว่า โปรแกรม PMS ที่เรากำลังจะเลือกนำมาใช้นั้น จะเป็นระบบที่ Run ผ่าน Sever หรือ Cloud เพื่่อให้เหมาะกับโรงแรม-รีสอร์ทของเราค่ะ
หลายท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ยุค IT ก็คงจะรู้จักคำว่า Sever กับ Cloud กันได้ไม่ยาก แต่หากเป็นคนรุ่นเก่าที่ไม่ใคร่ได้ใส่ใจกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มากนัก ก็คงจะยังงง ๆ กันอยู่ ดังนั้นเพื่อให้คลายความสงสัย ฉันจึงนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Sever และ Cloud พร้อมกับจำแนกข้อดีข้อเสียให้เปรียบเทียบกันดูค่ะ ว่าโรงแรม-รีสอร์ทของคุณเหมาะที่จะใช้งานโปรแกรม PMS ผ่านระบบอะไรถึงจะดีที่สุด
ระบบจัดการโรงแรม (PMS) แบบ Sever
เป็นระบบ PMS แบบ Server Base คือมีคอมพิวเตอร์กลางเป็นตัวเก็บข้อมูลซึ่งต้องมีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ
และคอมพิวเตอร์เครือข่ายก็จะสามารถเรียกดูข้อมูลและประมวลผลผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนกลางนี้
ข้อดี
- เป็นระบบที่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ในครั้งแรก แต่ยิ่งใช้นานยิ่งคุ้ม ถ้าใช้งานระยะยาวถูกกว่าแบบ Clouds
- เป็นระบบที่คิดค่าบริการแบบLicensing และมีค่าดูแลรักษารายปี จึงยังสามารถต่อรองราคาได้
- ไม่ต้องมี internet หรือ internet ล่มก็ยังสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างไม่สะดุด เพราะระบบ Servers ไม่มีข้อจำกัดจากทั้งปัจจัยภายนอกและทางเทคนิค เช่น ไฟฟ้าดับ หรือการไม่มีอินเตอร์เน็ต
- มีความเร็วในกระประมวลผลข้อมูลสูง ทำให้การทำงานคล่องตัว
- สามารถปรับแต่งโปรแกรมให้เข้ากับลูกค้าได้เฉพาะราย (Customization)
- การแก้ไขปัญหาและการให้บริการมีประสิทธิผลมากกว่า มีช่องทางสำหรับบริการลูกค้าได้มากกว่า
- มีการส่งทีมงานเข้ามาบริการหน้าไซท์งาน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหรือการอบรมการใช้งาน
- มีการอัพเดทระบบเพื่อให้ทันสมัยอยู่เสมอ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
- มีระบบที่คลอบคลุมกับการบริหารจัดการโรงแรมที่สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของโรงแรม เช่น POS, back Office, channel Manager, Spa Scheduler, Golf club, Activities เป็นต้น
- สามารถใช้ได้กับโรงแรมทุกขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ หรือแม้กระทั่งใช้กับ Chain Hotel
- เหมาะกับโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็กถึงขนาดกลาง หรือ Budget Hotel และมีบริการต่อเนื่องครอบคลุมถึงร้านอาหาร สปา หรือสนามกอล์ฟ
ข้อเสีย
- ลงทุนสูงในครั้งแรก
- จะต้องใช้งานผ่านเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรมไว้เท่านั้น (ปัจจุบัน ระบบserver หลายๆยี่ห้อ มีการพัฒนาในส่วนที่จำเป็นเพื่อให้เจ้าของโรงแรมหรือพนักงานตำแหน่งที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานได้ในฟังชั่นที่จำเป็นผ่านมือถือได้แล้ว)
- ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านITในการดูแลระบบในกรณีที่เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค (ปัจจุบันสามารถจ้าง Out Source มาเป็นครั้งคราวก็ได้)
ระบบจัดการโรงแรม (PMS) แบบ Clouds
เป็นระบบ PMS แบบ Cloud Base โดยใช้การประมวลผลผ่านเครือข่าย Internet
ข้อดี
- เจ้าของโรงแรมหรือพนักงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานที่ไหนก็ได้เพียงแค่มี Internet
- ไม่ต้องลงทุนสูงในครั้งแรกเพื่อซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เหมือนแบบ server
- ใช้ได้ทันทีเมื่อชำระเงินค่าบริการให้กับบริษัทผู้ผลิต ไม่ต้องเสียเวลาติดตั้งที่หน้าไซต์งาน
- เป็นระบบที่เก็บค่าบริการแบบรายเดือน ทำให้ไม่ต้องเสียเงินเป็นก้อนในการลงทุนซื้อระบบ
- ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานด้านไอทีมาดูแลระบบ
- เหมาะกับโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก และมีเงินทุนจำกัด หรือโรงแรมที่มีห้องพัก 50 ห้องขึ้นไปแต่ไม่เกิน 80 ห้องและไม่มีธุรกิจอื่นต่อเนื่อง แต่ก็ควรพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาวด้วยค่ะ
ข้อเสีย
- ค่าใช้จ่ายสะสมในระยะยาวสูงกว่าการลงทุนซื้อระบบครั้งแรกครั้งเดียวเมื่อใช้ไปเกินหนึ่งหรือสองปี
- Internet ต้องแรงและเสถียร เพราะหาก Internet ล่มหรือช้า ระบบจะไม่สามารถทำงานได้เลยและไม่มีระบบสำรอง
- ข้อมูลของโรงแรมเก็บผ่านClouds ของระบบบริษัทผู้ผลิต ขาดความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
- ถูกออกแบบมาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมดสำหรับทุกโรงแรม ไม่สามารถออกแบบให้เหมาะสมกับลูกค้าเฉพาะรายได้เหมือนกับแบบ Sever
- การแก้ไขปัญหาหรือการให้บริการต่างๆจะติดต่อผู้ให้บริการผ่านช่องทางอีเมล์ หรือ เว็บไซต์ ซึ่งใช้เวลานานกว่าปัญหาจะถูกแก้ไข
- ไม่มีการส่งพนักงานมาอบรมการใช้งานอย่างถูกวิธีให้กับพนักงานของโรงแรม ทำให้ใช้ระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
เมื่อรู้แนวทางการคิดอัตราค่าบริการระบบบริหารจัดการโรงแรม(PMS)และข้อดีข้อเสียไปแล้ว ก็หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณนำไปใช้ตัดสินใจเลือกโปรแกรม PMS ได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานในธุรกิจโรงแรมกันนะคะ
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องทำสิ่งที่คุณรักด้วยความสุขนะคะ
“คุณสามารถเปลี่ยนตัวเองจากคนธรรมดาให้กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ แค่เพียงมีความรู้ มีแรงบันดาลใจ และมีความสุข ฉันอยู่ที่นี่เพื่อจะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับคุณค่ะ”
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ