อย่าคิดว่าเป็นเพียงเครื่องดื่มใส่แก้วแบบไหนก็ดื่มได้ทั้งนั้น สุดท้ายก็ผ่านลำคอลงไปรวมกันที่กระเพาะเหมือนเดิม สำหรับนักดื่มที่มีระดับ อยากดื่มเครื่องดื่มให้ได้รสชาติดี ดูมีรสนิยม สิ่งสำคัญไม่แพ้รสชาติของเครื่องดื่มก็คือ
การเลือกแก้วให้เหมาะสมกับประเภทของเครื่องดื่ม มันเป็นการบ่งบอกถึงการใส่ใจในรายละเอียดด้วยว่าคุณรู้จักเครื่องดื่มและมีรสนิยมในการจัดเสิร์ฟเครื่องดื่มแต่ละชนิดได้ดีเพียงใด
ดังนั้นการเลือกแก้วสำหรับเครื่องดื่มจึงถือเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งเลยทีเดียว เพราะแก้วแต่ละแบบมีผลต่อการรับรู้รสและกลิ่นของเครื่องดื่มที่แตกต่างกัน ถ้าอยากเป็นนักดื่มที่มีระดับ และเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ใส่ใจในรายละเอียด เรามาดูการแยกประเภทของแก้วและการใช้งานให้เหมาะสมกับเครื่องดื่มแต่ละชนิดกันเลยค่ะ
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
- Standard Wine Glass เป็นแก้วที่ใช้กับเครื่องดื่มประเภทไวน์ เนื่องจากไวน์มีการแยกย่อยออกไปหลายประเภท การดื่มไวน์ให้ได้รสชาติดีบางคนถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นงานศิลปะระดับชาติที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดอย่างเต็มที่ แก้วไวน์นั้นจึงมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีกมาก โดยปกติแก้วไวน์จะมีก้านจับแบบสูง เหตุผลที่ต้องมีก้านจับสูงเพราะอุณหภูมิในร่างกายเราค่อนข้างร้อน ถ้าจับหรือสัมผัสกับแก้วไวน์โดยตรงความร้อนจากร่างกายจะทำให้ไวน์เสียรสชาติ รูปทรงของตัวแก้วจะเป็นแบบดอกทิวลิป เนื่องจากกักเก็บความหอมและอุณหภูมิของไวน์ได้นาน เวลาเอียงแก้วดูการลื่นไหล(Tear) เพื่อสังเกตอายุของไวน์ ก็ทำได้สะดวก เมื่อเวลาจิบก็สามารถสัมผัสกลิ่นหอมและชื่นชมกับสีสันของไวน์ได้อย่างดื่มด่ำเต็มที่
ประเภทของแก้วไวน์
1.แก้วไวน์แดง มีลักษณะทรงกลม ส่วนถ้วยจะอ้วนและปากกว้างเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยา(Oxidation) กับไวน์ที่อยู่ในแก้ว ว่ากันว่าปฏิกิริยาทางเคมีนี้จะไปทำให้รสชาติและกลิ่นของไวน์แดงนุ่มละมุนขึ้น แก้วสำหรับไวน์แดงมีดังนี้
1.1 แก้วกรองด์ครู (Grand Cru) แก้วชนิดนี้สร้างมาสำหรับดื่มด่ำรสชาติไวน์ระดับโลก ปากแก้วกรองด์ครูจะปานออกจากส่วนถ้วยนิดหน่อยซึ่งต่างจากแก้วไวน์ทั่วไป เพื่อเน้นรสชาติของผลไม้ในไวน์โดยการนำไวน์ไปสู่ปลายลิ้นของคุณ ทรงแก้วเหมือนแก้วไวน์ชนิดนี้เหมาะกับไวน์แดงแบบ Fuller-Body เช่น ไวน์ที่ได้รางวัลในวิธีการประกวดใหญ่ๆ และไวน์ที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลานาน (Long-aged wine) เหมาะกับ Nebbiolo, Barolo, Cabernet Sauvignon, Pinot Noir, Australian Shiraz, Priorat
1.2 แก้วคาบาเน่ (Cabernet) และ แก้วบอร์โดขนาดใหญ่ (Large Bordeaux) เป็นแก้วที่นิยมใช้กันหลากหลายกับไวน์ทุกแบบ ยกเว้นไวน์แบบ Light-Bodiedทรงแก้วเป็นกระเปาะกลมแต่มีด้านข้างของแก้วที่ตรงขึ้นไปหน่อยเพื่อทำให้ไวน์ในแก้วสัมผัสอากาศมากขึ้น ทำให้ไวน์ได้ ”หายใจ” และสร้างรสชาติดียิ่งขึ้น โดยแก้วบอร์โดจะมีขนาดสูงและใหญ่กว่าแก้วคาบาเน่เล็กน้อย การออกแบบของแก้วไวน์ทั้งสองนี้จะนำไวน์ในแก้วไปสู่ตุ่มรับรสที่กลางลิ้น เพื่อลดความฝาด (Tannin) ในไวน์ประเภทเบอร์กันดี และกลุ่มที่คล้ายกัน เหมาะกับ Cabernet Sauvignon, Malbec, Tempranillo
1.3 แก้วพิโนนัวร์ (Pinot Noir) และ แก้วเบอร์กันดี (Burgundy) ลักษณะเป็นแก้วทรงบอลลูนสำหรับเก็บรสชาติและกลิ่นของไวน์แดงประเภท Light-Bodied ไปจนถึง Medium-Bodied กระเปาะกว้างและกลมกว่าแก้วคาบาเน่และแก้วบอร์โด เพื่อเพิ่มเพิ่มที่ให้ความหอมละเอียดอ่อนของไวน์ระเหยขึ้นมา แต่ปากแก้วจะเล็กกว่า เพื่อให้กลิ่นไวน์ตลบอบอวล อยู่ภายในถ้วยเหมาะกับ Pinot Noir, Barbera, Gamay, Dolcetto, Red Burgundy
2.แก้วไวน์ขาว แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 แก้วโซวิญองบลอง (Sauvignon Blanc) เป็นแก้วไวน์ขาวมาตรฐานทั่วไป ใช้สำหรับไวน์ขาวอ่อนๆ (Light wine) ที่มีความสดชื่นสดใส (Fresh and Crisp) หรือไวน์ประเภท Rosé ไวน์ประเภทนี้ไม่ต้องการให้มีปฏิกิริยาOxidation มากนักเพราะอากาศที่สัมผัสกับไวน์มากเกินไปจะไปทำลายความหอมอ่อนๆ ของไวน์ ลักษณะถ้วยจะไม่เป็นกระเปาะมากนัก ปากแก้วไม่กว้าง เพื่อรักษาความหอมละมุ่น เช่น กลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ เป็นต้น เหมาะกับ Sauvignon Blanc, Riesling, Pinot Grigio, Albariño, Grüner Veltliner, Viognier, Semillon, Chenin Blanc, Lighter Rosé Wines
2.2 แก้วชาร์โดเนย์ (Chardonnay) เป็นแก้วที่เหมาะกับไวน์ขาวที่มี Full-Bodied ลักษณะถ้วยเป็นกระเปาะและตื้น ปากแก้วจะกว้างกว่าแก้วโซวิญองบลอง เพื่อปล่อยให้กลิ่นของไวน์ระเหยออกมาอบอวล และให้ไวน์สัมผัสกับอากาศได้เร็วเช่นเดียวกับไวน์แดงแบบ Full-Bodied เพื่อเพิ่มรสชาติและรักษาสมดุลของกลิ่นต่างๆ เหมาะกับ Chardonnay and fuller rosé wines
- flutes แก้วชนิดนี้ เหมาะกับเครื่องดื่มประเภท Champagneและ Sparkling Wines ออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ส่วนถ้วยและปากถ้วยแคบ เพื่อลดพื้นผิวที่จะสัมผัสกับอากาศและเก็บความซ่า (Sparkling Carbonation) เอาไว้ในขณะดื่มให้ได้นานที่สุด อีกทั้งมีส่วนก้านถ้วยสูง เพื่อป้องกันความร้อนจากมือขณะถือแก้ว เหมาะกับ Champagne, Champagne-style sparkling wines, Prosecco, Cava
- Dessert Wine Glass แก้วสำหรับไวน์รสหวาน เครื่องดื่มประเภทนี้มีรสชาติที่หวานอยู่แล้ว จึงไม่นิยมดื่มในปริมาณมาก การเสิร์ฟเครื่องดื่มชนิดนี้จะเสิร์ฟมาในแก้วขนาดเล็ก มีก้านจับเพื่อรักษาอุณหภูมิของเครื่องดื่ม แก้วมีลักษณะแคบ เพราะเครื่องดื่มมีรสชาติหวานอยู่แล้วทำให้ความสำคัญของกลิ่นลดลง จึงไม่ต้องให้ความสำคัญกับกลิ่นมากนัก
- Tumbler Glass แก้วทรงกระบอก ใช้ใส่เครื่องดื่มค็อกเทลที่เน้นปริมาณและต้องการเก็บความเย็นให้ได้นาน เวลาดื่มจะไม่ถือแก้วไว้นาน จึงไม่ต้องควบคุมเรื่องอุณหภูมิความร้อน
- Martini Glass ใช้ใส่เครื่องดื่มตระกูลMartini และManhattan เป็นหลัก มีก้านจับเพื่อควบคุมอุณหภูมิ เพราะเครื่องดื่มที่เสิร์ฟต้องผสมกับน้ำแข็งและเขย่าก่อนเสิร์ฟแต่เวลาเทใส่แก้วจะไม่ใส่ แก้วมาร์ตินี่น่าจะได้มีการเตรียมไว้สองขนาด ก็คือ แบบ Single martini ขนาดความจุ 2-3 ออนซ์ สำหรับใส่เหล้าตัวเดียว และ แบบ Double martini ขนาดความจุ 3-4 ออนซ์ สามารถใส่เหล้าตัวถึง 2-3 ตัว
- Cocktail Glass เป็นแก้วสำหรับเหล้าค็อกเทล ซึ่งก็คือเหล้าผสมที่เกิดจากการปรุงขึ้นโดยใช้น้ำผลไม้ผสมกับเหล้า ไม่นิยมบรรจุน้ำแข็งลงไป เพรามีความจุเพียง 6-7 ออนซ์ เอกลักษณ์ของเครื่องดื่มประเภทนี้คือมีการประดับชิ้นผลไม้หรือดอกไม้ที่ปากแก้ว ดังนั้นแก้วที่ใช้กับเหล้าค็อกเทลจึงมักมีปากกว้าง และเพื่อสะดวกในการดื่ม
- Old Fashioned Glass หรือ Rock Glass เป็นแก้วสำหรับคอ On the rocks ที่ชอบดื่มเพียวๆ เป็นแก้วใส่วิสกี้ซึ่งเป็นเหล้าจากธัญพืชเวลาดื่มจะผสมน้ำหรือโซดาพร้อมใส่น้ำแข็ง หรือจะใช้สำหรับเครื่องดื่มประเภทค็อกเทลก็ได้ แก้วจะมีขนาดกว้างช่วยให้ได้กลิ่นของเครื่องดื่ม
- Collins Glass เป็นแก้วสำหรับเครื่องดื่มตระกูล Collins (คือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมออกเปรี้ยว หวาน ซ่า ผสมแอลกอฮอล์หน่อยๆ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำแข็ง) ลักษณะเป็นแก้วทรงสูง เพื่อต้องการเก็บฟองอากาศให้นาน สามารถใส่น้ำแข็งได้ ไม่เน้นเรื่องกลิ่นหอมของเครื่องดื่ม
- Grappa Glass เป็นแก้วขนาดเล็กมีก้านจับเพื่อรักษาความเย็น รูปทรงคล้ายหลอดไฟ สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของชาวอิตาเลี่ยน Grappa นั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดที่ค่อนข้างแรง อยู่ระหว่าง 35%-60% ส่วนใหญ่อยู่ที่ 40% (พอๆกับเหล้าขาวบ้านเราเลย) มีลักษณะเด่นที่กลิ่น นิยมดื่มหลังอาหารเพื่อช่วยย่อย
- Brandy Glass แก้วสำหรับบรั่นดี บางครั้งเรียกว่า Snifter Glass หรือ Balloon Glass ลักษณะแก้วเป็นแก้วที่มีก้านสั้น ตัวแก้วค่อนข้างกลม มีขนาดใหญ่ เพื่อเวลาดื่ม จมูกของผู้ดื่มจะได้ล้ำเข้าไปในแก้ว เพื่อสูดกลิ่นหอมของบรั่นดี ถูกออกแบบมาให้ถือด้วยฝ่ามือ เพราะต้องการให้มีการถ่าย อุณหภูมิความรัอนจากตัวเราไปสู่แก้ว เมื่อน้ำเหล้าในแก้วอุ่นขึ้น ก็จะส่งกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมา
- Mug glass เป็นแก้วเบียร์ที่มีหูจับ เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ต้องดื่มที่อุณหภูมิต่ำ มีคุณลักษณะเฉพาะตัว คือ มีฟองละเอียด แก้วที่ใช้จึงเป็นลักษณะแบบเหยือก มีหูจับ เพื่อสะดวกในการถือ ขนาดของแก้วค่อนข้างใหญ่ เพื่อให้เกิดการแผ่กระจายของฟอง ทำให้ดูบึกบึน ขลัง น่าลิ้มลอง และดื่มได้อย่างสะใจ เวลารินก็จะรินให้มีฟองประมาณ 1 ใน 5 ของแก้ว
- Pilsner glass เป็นแก้วเบียร์อีกชนิดหนึ่ง ปากบานๆที่สูงขึ้นมาก็น่าจะเป็นการเปิดฟองของของเบียร์ ให้ผุดขึ้นมาน่ารับประทานยิ่งขึ้น บางครั้งนำมาใส่ค็อกเทลบางชนิด
- Liqueur Glass หรือแก้วสำหรับใส่เหล้าที่ใช้จิบหลังอาหาร หรือเหล้ายา ดังนั้นแก้วที่ใช้จึงเล็กมาก คงจะลักษณะเดียวกับยาดองบ้านเรา แต่ก็มีค็อกเทลบางตัวที่ต้องใส่แก้วลิเคียวนี้ นั่นก็คือ Rainbow, B-52 และการดื่มแบบ Straight-up ทั่วๆไป
และทั้งหมดนี้คือข้อมูลและรายละเอียดของแก้วแต่ละประเภท ที่ไปค้นคว้ามาค่ะ หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการเลือกแก้วเครื่องดื่ม เพื่ออรรถรสในการดื่มนะคะ ศาสตร์และศิลป์เกิดขึ้นจากความใส่ใจค่ะ
“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ