
เวลาสอบถามห้องพักโรงแรม หลายท่านคงได้ยินพนักงานต้อนรับถามด้วยเสียงหวานๆกลับมาว่า ต้องการห้องประเภทไหนคะ Standard,Superior, Deluxe หรือบางทีก็เป็นชื่ออื่นๆที่คุ้นเคยบ้างไม่คุ้นเคยบ้าง
หลายท่านที่เข้าใช้บริการโรงแรมบ่อยๆคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับชื่อเรียกห้องประเภทต่างๆ แต่บางท่านที่นานๆจะได้เข้าพักที่โรงแรมสักครั้งคงจะงงๆอยู่บ้าง เอ๊ะ! เราจะเลือกห้องพักแบบไหนดี ถ้าจะถามย้อนกลับไปให้พนักงานต้อนรับของโรงแรมทียืนยิ้มหวานรอคำตอบช่วยเลือกให้ ก็กลัวจะเสียฟอร์ม เดี๋ยวโดนหาว่าบ้านนอกเข้ากรุง ไม่เคยเข้าพักโรงแรม กลัวจะเสียหน้า (ประสบการณ์ตรงจากผู้เขียนเลยคะ ตอนนั้นเพิ่งเป็นพนักงานธนาคารใหม่ๆ ยังไม่เคยมีโอกาสพักโรงแรมหรูๆ เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก พอพนักงานต้อนรับถามว่าต้องการห้องพักแบบไหนคะ ถึงกับเหวอเลย แหะๆ)
เอาเป็นว่าวันนี้เรามารู้จักประเภทของห้องพักต่างๆ ของธุรกิจโรงแรมกันค่ะว่าเขามีชื่อเรียกกันยังไง เวลาไปเที่ยวกับคู่รักจะได้เลือกถูกว่าเอาห้องแบบนี้ๆ หรือเวลาไปกับครอบครัว มีเด็กๆต้องเป็นห้องประเภทนี้ และเพื่อเป็นแนวทางสำหรับเจ้าของโรงแรมมือใหม่ เอาไว้ใช้สื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและกำหนดราคาขายห้องพักให้ตรงกลุ่มยิ่งขึ้น
แสดงเนื้อหาเพิ่ม คลิกที่นี่
ติดตามรับฟัง Podcast บน Spotify คลิกที่นี่ ⇒
รับชมบน Youtube ช่อง A-LISA แบ่งปันความรู้
การแบ่งประเภทห้องพักของโรงแรมจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้
ประเภที่ 1 พิจารณาจากจำนวนและขนาดของเตียงต่อห้อง
- ห้องเตียงเดี่ยว(Single Bedded Room) จะมีเตียงขนาดเล็กไว้ในห้องพักให้เพียง 1 เตียง สำหรับแขกพักได้ 1 คน
- ห้องเตียงคู่ หรือห้องทวิน (Twin Bedded Room) มีเตียงเล็กในห้องพัก 2 เตียง สำหรับแขกพักไม่เกิน 2 คน
- ห้องคู่ (Double Bedded Room) มีเตียงใหญ่ 1 เตียง สำหรับแขกพักได้ไม่เกิน 2 คน
- ห้องสูทหรือห้องสวีท (Suites) ประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอย 2 ส่วนในห้องพัก คือ ส่วนห้องนอนและส่วนห้องนั่งเล่น โดยในห้องนอนจะมีเตียงใหญ่ 1 เตียง สำหรับแขกพักไม่เกิน 2 คน
- ห้องสตูดิโอ (Studio Room) เป็นห้องที่มีความกระทัดรัด ขนาดเล็ก อาจเป็นห้องมาตรฐานที่ใส่เตียงคู่ได้แค่เตียงเดียว
ประเภทที่ 2 พิจารณาจากการตกแต่ง ขนาดห้องพัก และทัศนียภาพ
- Standard Room เป็นห้องพักที่มีขนาดและการตกแต่งตามมาตรฐานทั่วไป อาจแบ่งย่อยเป็นห้องเดี่ยว ห้องคู่ หรือห้องเตียงคู่ ก็ได้ ราคามาตรฐานของโรงแรมจะเริ่มจากห้องประเภทนี้ อาจแบ่งย่อยเป็น Single Bedded Room,Twin Bedded Room, Double Bedded Room ได้ทั้งนั้น
- Superior Room เป็นห้อง Standard ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า เช่น ทัศนียภาพดีกว่า สะดวกกว่า หรือเตียงมีขนาดใหญ่กว่าห้อง Standard ราคาจะสูงกว่าห้องมาตรฐานเล็กน้อย
- Deluxe Room ห้องอาจเท่ากันหรือขนาดกว้างกว่าห้อง Standard แต่จะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เช่น ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตสวยงามเป็นพิเศษ มีขนาดเตียงใหญ่พิเศษ มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในห้องพัก สามารถมองเห็นทัศนียภาพจากห้องพักในมุมที่สวยที่สุด แต่ละโรงแรมก็จะมีทัศนียภาพไม่เหมือนกัน อาจเป็นวิวทะเล วิวภูเขา วิวสวน วิวทุ่งนา วิวตัวเมือง มีราคาสูงที่สุดในบรรดาห้องพักทั้งหมด
ประเภทที่ 3 สำหรับชั้นนักธุรกิจและชั้นพิเศษ
ชั้นนักธุรกิจ (Executive Floor) และชั้นพิเศษ (Presidential Suite) สำหรับโรงแรมที่เน้นกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก เป็นนักธุรกิจที่ยินดีจ่ายราคาสูง สำหรับการบริการที่เป็นส่วนตัวแยกจากแขกที่จ่ายค่าห้องปกติ ห้องพักชั้นนักธุรกิจและชั้นพิเศษจึงมักถูกแยกไว้เป็นกลุ่มชั้น เช่น ชั้น 29-30 แล้วเรียกทั้งชั้นรวมกันว่า Executive Floor ห้องพักในกลุ่มนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าห้องธรรมดา ใช้วัสดุอย่างดี ราคาแพง คัดสรรเป็นพิเศษสำหรับตกแต่งภายใน
ห้องพัก และมีบริการพิเศษที่กลุ่มนักธุรกิจจำเป็นต้องใช้ เช่น ห้องประชุม ห้องอาหารเช้า บริการเลขาฯ บริการต้นห้องส่วนตัวที่เรียกว่า บัตเลอร์ เป็นต้น
ธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ทบางแห่งอาจต้องการตั้งชื่อห้องพักให้แตกต่างไปจากนี้เพื่อสร้างจุดขายของตนเอง และเพื่อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เมื่อเวลาเอ่ยชื่อห้องพักออกมาก็ทำให้แขกที่เข้าพัก สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าต้องเป็นห้องนี่แหละที่ต้องการ ไม่ต้องแปลไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยหรือกลัวหน้าแตก เวลาพูดชื่อห้องพักที่ตัวเองไม่แน่ใจหรือไม่รู้จัก เพราะชื่อเรียกห้องพักเหล่านี้ได้อธิบายขยายความในตัวของมันเอง
ตัวอย่างชื่อเรียกห้องพักที่ตั้งขึ้นเพื่อกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
- Honeymoon Room ฟังจากชื่อก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นห้องพักที่ต้องเหมาะกับคู่รัก มีเตียงนอนขนาดใหญ่สำหรับ 2 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวก และการตกแต่งที่หรูหรา บรรยากาศดีกว่าห้องพักมาตรฐานทั่วไป
- Family Room เป็นห้องพักสำหรับแขกที่มากันเป็นครอบครัว หรือ 4คน ในห้องจะมีเตียงขนาดใหญ่นอนได้ 2 คน 1 เตียง และเตียงเดี่ยวนอนได้คนเดียวอีก 2 เตียง นั่นก็หมายถึงเตียงใหญ่สำหรับพ่อ-แม่ และเตียงเล็กสำหรับลูกๆ
แต่หากต้องการห้องพักสำหรับครอบครัวใหญ่ที่มี คุณปู่-คุณย่า-คุณตา-คุณยาย ร่วมคณะมาด้วย ก็จะเลือกใช้บริการห้องพักแบบ Grand Family Suite คือมีห้องพักที่มีขนาดเตียงใหญ่เพิ่มเข้ามาอีก 1 ห้อง
ชนิดของเตียงที่ใช้ในห้องพักประเภทต่างๆ
- เตียงขนาดใหญ่ (King Sized Bed) มีขนาด 80×80 นิ้ว หรือ 72×72 นิ้ว สำหรับห้อง Deluxe และห้องSweet
- เตียงขนาดกลาง (Queen Sized Bed) มีขนาด 60×80 นิ้ว หรือ 60×72 นิ้ว
- เตียงคู่ขนาดนอน 2 คน (Double Bed) มีขนาด 54×75 นิ้ว นิยมวางในห้องพักที่เรียกว่าห้องคู่ (Double Bedded Room)
- เตียงเดี่ยวขนาดเล็กนอน 1 คน (Single Bed) มีขนาด 36×75 นิ้ว หรือ 37×80 นิ้ว หรือ 1×2 เมตร สำหรับห้องเตียงเดี่ยว (Single Bedded Room) หรือห้องเตียงคู่ (Twin Bedded Room)




บริการพิเศษของโรงแรมสำหรับผู้เข้าพักที่มีความต้องการพิเศษ
เพื่อให้การบริการแขกที่เข้าพักเป็นไปแบบพิเศษสุดๆ สนองทุกความต้องการ บางโรงแรมจึงต้องจัดบริการแบบพิเศษเพื่อให้แขกได้รับความพึงพอใจสูงสุด บริการพิเศษที่แขกอาจต้องการเพิ่มเกี่ยวกับห้องพัก ได้แก่
- Adjoining/Adjacent Room หมายถึง ห้องพัก 2 ห้อง หรือมากกว่าที่อยู่ติดกัน
- Connecting Room หมายถึง ห้อง 2 ห้อง หรือมากกว่า ที่มีประตูภายในเปิดถึงกันได้
- Duplex Suite หมายถึง ห้องสวีต 2 ชั้น มีบันไดเชื่อม ภายในมี 1 หรือ 2 ห้องนอน และห้องรับแขก
- Cabana หมายถึง ห้องที่อยู่ระดับพื้นดินหรือใกล้สระว่ายน้ำ หรือชายหาด
- Penthouse หมายถึง ห้องสวีต ที่สร้างขึ้นบนดาดฟ้าของตัวอาคาร
- Smoking/Non-Smoking Room หมายถึง ห้องที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ และ/หรือ ไม่ให้สูบบุหรี่ภายในห้องพัก
- Extra Bed หมายถึง เตียงเสริม เป็นเตียงเดี่ยวที่มีล้อเลื่อนสามารถเคลื่อนย้ายได้ พับเก็บได้ เรียกว่า Roll-Away Bed โรงแรมจะเรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม
- Baby Cot/Baby Crib หมายถึง เตียงเด็กหรือเปลเด็ก เป็นเตียงที่มีลูกกรง โดยปกติจะไม่มีค่าบริการ หากแขกต้องการควรแจ้งล่วงหน้า
ห้องพักโรงแรม ถือเป็นสินค้าหลักของธุรกิจโรงแรม หากมีลูกค้าเข้ามาพักที่โรงแรมไหลเวียนไม่ขาดสาย กำไรจากห้องพักที่ได้จะเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากต้นทุนค่าห้องพักเป็นต้นทุนจม ยิ่งมีแขกพักมากเท่าใด โรงแรม-รีสอร์ทก็จะมีกำไรมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้น ท่านเจ้าของธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ททั้งหลายลองวิเคราะห์เบื้องต้นก่อนนะค่ะ ว่าลูกค้าเป้าหมายหลักของเราเป็นใคร เพราะการกำหนดประเภทห้องพักและการเลือกชื่อห้องพักให้เหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง การใช้ชื่อห้องพักที่สื่อถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ก็เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้น เมื่อลูกค้าเป้าหมายเข้าใจก็จะเลือกใช้บริการกับเรา ช่วยลดเวลาในการขาย และช่วยลดข้อผิดพลาดในการแนะนำลูกค้าคะ ท่องไว้เสมอนะค่ะ ธุรกิจเป็นของเรา สินค้าและบริการเป็นของลูกค้าคะ
“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
เพื่อแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และแรงบันดาลใจ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ
