
เป็นอีกหนึ่งเรื่องชวนปวดหัวสำหรับเจ้าของธุรกิจโรงแรม-รีสอร์ทมือใหม่ เมื่อต้องคิดว่าจะออกแบบก่อสร้างโรงแรม-รีสอร์ทในฝันของตนเองอย่างไรเพื่อให้โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง แถมยังดึงดูดลูกค้าให้อยากเข้ามาใช้บริการ และนี่ก็เป็นแนวทางง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณเกิดไอเดียเจ๋ง ๆ เพื่อนำมาช่วยในการออกแบบค่ะ
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
เมื่อนึกถึงโรงแรม-รีสอร์ทสไตล์บูติกโฮเต็ล หลายๆคนคงนึกถึงสถานที่พักที่มีความโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมและการออกแบบตกแต่งทั้งภายนอกภายใน ให้บรรยากาศที่เหมือนหลุดลอยเข้าไปในสถานที่แห่งความฝัน หรือเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่น่าเข้าไปสัมผัสพักผ่อน โรงแรม-รีสอร์ทบางแห่งตกแต่งในสไตล์ย้อนยุคทำให้แขกรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในโลกของวรรณคดีหรือสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บางครั้งคิดว่าตัวเองหลุดเข้าไปยังบ้านเมืองต่างแดน เมืองที่เคยคิดฝันว่าจะเดินทางไปเยือนสักครั้งในชีวิต แต่ยังไม่สบโอกาสสักที ไม่คาดคิดว่าจะมีคนยกเมืองทั้งเมืองมาให้สัมผัสถึงถิ่น สถาปัตยกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากจินตนาการของสถานที่เพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้มาเยือนระหว่างการเข้ามาใช้บริการ แต่มองอีกด้านหนึ่ง นี่ก็คงเป็นเรื่องชวนปวดหัวของว่าที่เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทในอนาคตอีกเรื่อง เพราะไม่รู้ว่าจะออกแบบตกแต่งอาณาจักรในฝันของตัวเองอย่างไรดี เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วจะทุ่มเทความคิดทั้งหมดไปกับเรื่องการจัดหาเงินลงทุนและก่อสร้าง หลายท่านอาจจะมีกิจการอื่นๆที่ต้องดูแลอีกจึงโยนเรื่องงานออกแบบไปให้กับสถาปนิกรับผิดชอบทั้งหมด
A-LISA.NET คือ เว็บสร้างแรงบันดาลใจสำหรับคนอยากทำธุกรกิจโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ไหนเลยจะยอมได้ บทความนี้จึงหยิบยกตัวอย่างการออกแบบตกแต่งในแต่ละแบบ มาให้ว่าที่เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทในอนาคตได้เลือกแบบที่ใช่ในสไตล์ที่ชอบ เพื่อเอาไว้เป็นแนวทางสร้างธีมในการออกแบบและพูดคุยกับสถาปนิกให้เข้าใจคอนเซปต์ตรงกัน เมื่อโรงแรม-รีสอร์ทสร้างเสร็จแล้วจะได้สวยถูกใจทั้งเจ้าของและแขกผู้เข้าพัก
การออกแบบตกแต่งในสไตล์ต่าง ๆ มีดังนี้ค่ะ
ตกแต่งสไตล์โพรว๊องซ์ (Provence Style)
สไตล์โพรวองซ์
คือเอกลักษณ์ของความงดงามตามแบบฉบับของชนบทฝรั่งเศสที่เน้นการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน เป็นแรงบันดาลใจที่นำมาออกแบบ โรงแรม Le Bar Tarry ของฉันเอง เมื่อตอนเริ่มต้นหาข้อมูลสำหรับธีมตกแต่งโรงแรมฉันหาข้อมูลเยอะมากทั้งจาก Google และลงทุนซื้อตำราของไทยและต่างประเทศมาศึกษาเพราะต้องการเลือกแบบที่ถูกใจจริงๆ แล้วฉันก็ไปสะดุดตาสะดุดใจเข้ากับเมืองโพรว๊องซ์ประเทศฝรั่งเศสที่อ่านเจอจาก หนังสือ A Year In Provence หนึ่งปีแสนสุขในโปรว๊องซ์ ผู้เขียน ปีเตอร์ เมล แปลโดยคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ
ฉันตามเข้าไปค้นดูรูปเมืองโพรว๊องบนอินเตอร์เน็ตพบว่าโพรว๊องซ์เป็นเมืองชนบททางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่สวยงามมาก ๆ ทำเลที่ตั้งมักห้อมล้อมด้วยภูเขาสูง นิยมอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนเล็กๆตั้งเรียงรายลดหลั่นกันไป แต่ละบ้านจะมุงหลังคากระเบื้องดินเผา ตัวบ้านก่อสร้างด้วยคอนกรีตฉาบปูนสีอมแดง (ตามสีของดิน) นอกจากสถาปัตยกรรมที่โดนใจแล้วฉันยังถูกใจกับคอนเซปต์ Perfect Imperfection หมายถึงความสวยสมบูรณ์แบบที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะฉันคิดว่ามันช่างตรงกับไลฟ์สไตล์ของฉันเหลือเกิน ความสวยงามไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไปแต่อาจมีร่องรอยตำหนิบ้างก็ไม่เห็นจะแปลกเพราะนี่แหละคือธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ และฉันยังหลงไหล ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ของโกลด มอแน (Claude Monet) จิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 ฉันจึงใช้รูปภาพศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์เป็นภาพตกแต่งภายในโรงแรมทั้งหมดด้วยเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าได้พักอยู่โรงแรมในชนบทของฝรั่งเศสจริงๆ
การเลือกใช้วัสดุและโทนสีของสไตล์โพรว๊องซ์
สไตล์โพรว๊องซ์แบบดั้งเดิมจะใช้หลังคาดินเผา พื้นหินผสมผสานกับวัสดุที่หลากหลาย เช่น ไม้ เหล็ก หรือผ้าที่เป็นเส้นใยจากธรรมชาติ เช่นผ้าฝ้าย ผ้าลินิน นิยมใช้เหล็กดัดตรงราวระเบียงแต่จะปล่อยไว้จนเกิดสนิมสักพักก่อนค่อยทาเคลือบผิวเพื่อให้เห็นร่องรอยของสนิม ตามหลักการสวยแบบไม่ต้องเนี๊ยบของสไตล์นี้ ส่วนโทนสีจะออกไปทางชมพูหรือแดงส้ม สีขาวและสีเบจ





ตกแต่งสไตล์คลาสสิค(Classic Style)
สไตล์คลาสสิค
เป็นคำกลางๆที่ใช้เรียกงานสถาปัตยกรรมในยุคกรีก-โรมัน ,เรอเนซองส์, บาโรค,วิกตอเรียน รวมไปถึง ศิลปะนูโว โดยมีหลักการตกแต่งที่มีสไตล์คล้ายๆกันคือ เน้นไปที่การตกแต่งประดับประดา ด้วยสัดส่วนที่สวยงาม ลงตัว ดูหรูหรา โอ่อ่า บ่งบอกถึงฐานะ เป็นสไตล์ที่บรรดาเศรษฐี คหบดีหรือบุคคลระดับสูงมีหน้ามีตาในสังคมชื่นชอบ
การเลือกใช้วัสดุและโทนสีของสไตล์คลาสสิค
เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก สำหรับพื้นนิยมใช้หินอ่อน หินแกรนิต บางครั้งใช้พื้นหินขัด ลักษณะพื้นผิวค่อนข้างมันเป็นเงาเพื่อให้ดูโก้หรู ผนังภายนอกอาคารมักจะใช้ฝนังสีขาวหรือหินธรรมชาติ สำหรับผนังภายในมักใช้วอลล์เปเปอร์ ที่มีลวดลายนุ่มนวลโทนสีครีมหรือน้ำตาลอ่อน เพิ่มลายของผนังด้วยการใช้บัวหรือคิ้ว ในส่วนของฝ้าเพดานมักใช้สีขาวและมีการเล่นระดับของฝ้าเพดานหรือที่เรียกกันว่าฝ้าหลุมบริเวณกลางห้องเพื่อให้ดูสูง
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
นิยมใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นงานไม้ เน้นโชว์งานไม้แกะสลักที่ดูปราณีต โดยใช้ไม้ซึ่งมีเนื้อไม้สีเข้ม เช่น ไม้โอ๊ก มีการย้อมสีไม้ธรรมชาติ เน้นความปราณีตของชิ้นงาน ทำให้ดูเก่า เฟอร์นิเจอร์นิยมใช้ผ้าบุพิมพ์ลายชัดเจน ผ้าทอลวดลายด้วยความปราณีต หรือใช้หนังแท้ผสมกับการตอกหมุดทองเหลือง ผ่านม่านนิยมจับจีบระบายหรือกุ๊นด้วยเชือกเกลียวเข้าชุดกัน และที่ขาดไม่ได้เลยคือโคมไฟแขวนฝ้าเพดานกลางห้องเพิ่มความหรูหรา



ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น(Modern Style)
สไตล์โมเดิร์น
มีต้นกำเนิดขึ้นมาก่อนยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงกำเนิดยุคแรกๆของงานสไตล์โมเดิร์นมีการลดทอนลวดลายประดับประดาลง ดูเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น เน้นเส้นสายแบบเรขาคณิต แต่ยังคงมีลวดลายประดับประดาแบบอียิปต์อยู่บ้าง จนกระทั้งมาถึงยุคปฏิวัติอุสาหกรรม โลกก็เปลี่ยนแนวคิด ไม่เชื่อเรื่องความอลังการของงานโครงสร้างที่ทำเพื่อเทพเจ้า ราชวงศ์หรือชนชั้นสูง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในเชิงสถาปัตยกรรม เริ่มปฏิเสธความหรูหราอลังการ ทำให้ยุคโมเดิร์นเกิดขึ้นอย่างเต็มตัว
การเลือกใช้วัสดุและสีของสไตล์โมเดิร์น
องค์ประกอบที่สมบูรณ์ของสไตล์โมเดิร์นคือ รูปทรงเรียบง่าย แบบเรขาคณิต ใช้สีสันแบบแม่สี เหล็กทรงกลม ไม้จริง ปูนเปลือย อิฐ หรือหิน การเลือกใช้วัสดุสวยๆมีส่วนสำคัญให้ภาพรวมออกมาสวยงาม เช่น หินธรรมชาติหรือไม้ที่เห็นลวดลายชัดเจน เราสามารถนำมาโชว์ให้เห็นถึงความสวยงามแบบเต็มๆ นอกจากนี้ยังอาจนำวัสดุหลายรูปแบบมาผสมผสานกันให้เกิดความรู้สึกที่ทันสมัยขึ้น เช่น ใช้หินอ่อนคู่กับไม้สีอ่อน หรือหินลายสวยคู่กับเหล็กมันวาวหรือปูนเปลือย บางครั้งอาจใส่ลูกเล่นที่ทำให้สไตล์เรียบๆดูมีเสน่ห์ เช่น ความดิบของปูนเปลือย หินขัด หรือการทาสีที่ต้งใจให้มีสีหยดหรือทาไม่เรียบ เพิ่มอารมณ์คล้ายเป็นงานศิลปะในตัว
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
การตกแต่งสไตล์โมเดิร์นอยู่ภายใต้คอนเซ็ป เรียบง่าย แต่มีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์มาช่วยสร้างความโดดเด่น อาจเลือกใช้ เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเหล็กหรือโลหะมันวาว ให้ความรู้สึกเรียบ รูปภาพสีสันสดใสช่วยสร้างความสนุกสนาน เป็นต้น



ตกแต่งสไตล์คอมเทมโพรารี่ (Contemporary Style)
Contemporary
แปลว่า ร่วมสมัย การตกแต่งสไตล์นี้เป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์คลาสสิคและสไตล์โมเดิร์นเข้าด้วยกัน ให้ความรู้สึกถึงการตกแต่งแบบกลางๆ ไม่หรูหราเกินไปแบบสไตล์คลาสสิค และดูทันสมัยแบบโมเดิร์น มีแนวเส้นสายในการออกแบบที่โค้งมนนุ่มนวลกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นสายที่คมเฉียบของสไตล์โมเดิร์น ผสมกลมกลืนกับอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายตาและผ่อนคลาย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบการตกแต่งแบบร่วมสมัย สไตล์Contemporary นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับสถานที่ แถมยังไม่ตกยุค และไม่มีเชย
การเลือกใช้วัสดุและสีของสไตล์ Contemporary
สไตล์นี้เน้นความอบอุ่น และน่าอยู่ของสถานที่ ควรเน้นสีที่นุ่มนวล เช่น โทนสีน้ำตาล วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งมีความหลากหลายเพื่อให้ผิวสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป เช่น อลูมิเนียม พรม วอลล์เปเอร์ กระจกผ้าและกระจกโปร่งใส นำมาจัดวางให้ลงตัว
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากธรรมชาติ ผสมผสานวัสดุสมัยใหม่อย่างลงตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์เหล็กหรือโลหะมันวาว ให้ความรู้สึกเรียบ กับหนังที่ให้ความรู้สึกหรูหรา เมื่อจับมารวมอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกเก๋ๆในสไตล์คอมเทมโพรารี่ อาจเพิ่มสีสันบนผนังด้วยรูปภาพสีสันสดใส ข้าวของกระจุกกระจิก เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูสนุกสนานและผ่อนคาย



ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ (Loft Style)
Loft
ตามพจนานุกรมภาษาอังกฤษ หมายถึง ห้องใต้เพดาน หรือห้องใดๆที่อยู่ใต้เพดานของตัวอาคาร การตกแต่งสไตล์ Loft ส่วนใหญ่จะเน้นที่โครงสร้างเดิมภายในตัวอาคารเป็นหลัก ไม่เปลี่ยนปลงอะไรมาก เน้นการวางพื้น แบบอิสระและทำให้ดูโปร่งโล่ง และให้ความสำคัญของการจัดวางเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว
สไตล์Loft มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลพวงจากสงครามโลกส่งให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เป็นเหตุให้โกดัง โรงงาน อาคารหลายๆแห่งถูกปิดตัวลง ผู้คนตกงาน ไร้บ้านและยากจน อาคารเปล่าประโยชน์นี้จึงถูกนำมาประยุกต์เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนที่ไม่มีกำลังพอซื้อบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มศิลปิน เนื่องจากลักษณะอาคารมีความ สูง โล่ง กว้าง จึงเป็นพื้นที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการโชว์งานศิลปะ โครงสร้างของตัวตึกเน้นวัสดุที่เป็นเหล็ก ปูน อิฐ ไม่มีการกรุผนังเพื่อปกปิดผิว ทำให้เห็นส่วนโครงสร้าง เสา คาน และการเดินท่อต่างๆอย่างชัดเจน ศิลปินเหล่านี้ได้ช่วยกันปรับเปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้เกิดความสวยงามน่าอยู่ และก่อเกิดสถาปัตยกรรมแบบใหม่ขึ้นมา เรียกว่า Loft
การเลือกใช้วัสดุและโทนสีของสไตล์ Loft
ในประเทศไทย สไตล์Loft ได้รับความนิยมมากในกลุ่มร้านกาแฟ รีสอร์ท โรงแรม จุดเด่นของสไตล์นี้อยู่ที่ความสูงโปร่งของอาคาร พื้นที่ใช้สอยเปิดโล่ง บันไดโครงเหล็ก เพดานไร้ฝ้า ผนังเปลือย ระบบไฟฟ้าประปาโชว์งานท่อ จากความเรียบง่ายและประหยัด ก่อให้เกิดความสวยงามที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสไตล์นี้ สไตล์Loft ไม่ใช่ปูนขันมัน แต่สามารถใช้วัสดุตกแต่งได้หลากหลาย ทั้งงานเหล็ก โครงสร้าง ผนังอิฐ ผนังคอนกรีตปูนเปลือย รวมถึงไม้เก่าก็สามารถนำมาตกแต่งได้เช่นกัน โทนสี ก็เป็นส่วนสำคัญของ การตกแต่งสไตล์Loft นิยมใช้โทนสี ดำ ขาว เทา และสีดั้งเดิมของพิ้นผิววัสดุ เช่น ผิวผนังอิฐมอญก่อโชว์ แนวผิวของเหล็กที่ขึ้นสนิม เป็นต้น
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
เนื่องจากโครงสร้างและการตกแต่งสไตล์Loft เน้นเปลือยวัสดุ การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับนั่ง นอน จึงจำเป็นต้องเป็นแบบลอยตัวเท่านั้น โดยอาจเลือกสีสันและรูปทรงที่แตกต่างกันเพื่อนำมา Mix&Matchกันได้ จุดสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ ความโปร่ง โล่ง อย่างลงตัว



การตกแต่งสไตล์เรโทร (Retro Style)
Retro
ย่อมาจาก Retrospective แปลว่า ย้อนยุค เป็นการตกแต่งที่แสดงถึงอารมณ์ถวิลหาอดีตเมื่อวันวาน ความหมายของเรโทร ก็คือ ของที่ทำขึ้นใหม่แต่ได้แรงบันดาลใจหรือรูปแบบมาจากดีไซน์ดังเดิม การออกแบบตกแต่งแนว Retro เกิดจากแรงบันดาลใจของสังคมอเมริกันในช่วงยุคศตวรรษที่ 1950-1970 เป็นแนวการแต่งบ้านที่มีกรอบค่อนข้างกว้าง จึงมีเฟอร์นิเจอร์ให้เลือกเอามาใช้ได้หลายแบบ แนวการออกแบบในยุคนั้นค่อนข้างให้ความรู้สึกล้ำยุคสักหน่อย ลวดลายที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นทรงเรขาคณิต มีการเลือกใช้สีที่จัดจ้าน ชัดเจน มองแล้วเกิดจินตนาการถึงการยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวหรือออกแนวภาพยนต์วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นอิทธิพลของยุคสมัย ที่ตอนนั้นเป็นช่วงยุคบุกเบิกในเรื่องอวกาศ และคนนิยมวิทยาศาสตร์และอวกาศมากเป็นพิเศษจนสะท้อนออกมาในรูปการออกแบบตกแต่งไปด้วย
การเลือกใช้วัสดุและสีในสไตล์Retro
การตกแต่งไสตล์Retro
เน้นที่ความสนุกสนานดูมีชีวิตชีวา แต่ยังคงมีกฏพื้นฐานหลักๆคือ เพื่อตอบสนองการใช้งานและมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ สีสันที่ได้รับความนิยมขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเป็นหลัก เช่น Retro ยุค50s ก็ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อน หรือเรียกว่าพาสเทล อาทิ สีเหลืองอ่อน ฟ้าอ่อน ขาว เป็นต้น หากเป็นยุค70s ก็มีการเล่นสีค่อนข้างฉูดฉาด สดใส รุนแรงมากขึ้น โดยเน้นพวกสีเหลืองมะนาว สีเขียว สีส้ม
สีส้มไล่ระดับไปถึงสีน้ำตาลเข้ม งานศิลปะบนผนังก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสไตล์Retro เช่น ลวดลายของ Wallpaper จำพวกลายดอกไม้ขนาดใหญ่ ลายกราฟฟิค ลายที่เหมือนล่องลอยอยู่บนอวกาศ
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
ของตกแต่งย้อนยุคที่บ่งบอกความเป็นRetro อย่างเช่น โคมไฟรูปทรงเท่ห์ๆ นาฬิกาดีไซน์เก๋แปลกตา ตุ๊กตาไม้เก่า หมอนอิงลวดลายจัดจ้าน Retro Style ถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจนต้องนึกถึง Marilyn Monrole หรือ Elvis Presley กางเกงขาบน ดนตรี Rock N’ Role และเฟอร์นิเจอร์ขาเหลาที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ในยุคนี้เริ่มมีการใช้วัสดุที่หลากหลายมากขึ้น เช่นเหล็กผสมกับงานไม้ หรืองานเบาะ วัสดุหุ้มที่เป็นหนังเทียมและพลาสติก ถ้าจะให้มองภาพของงานเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์แบบเรทโทร ก็ควรจะมีจุดบ่งบอกสำคัญดังต่อไปนี้ค่ะ ขาโต๊ะ ขาตู้ หรือขาโซฟาจะนำไม้ไปกลึงเป็นทรงกลมหรือทรงกรวยยาวแต่จะไม่มีการแกะลวดหลายใดๆ การใช้โทนสีที่จัดเช่น น้ำเงิน แดง เหลือง



การตกแต่งสไตล์วินเทจ (Vintage Style)
วินเทจ
คือ ศิลปะหรือของที่มีอายุย้อนไปจากปัจจุบันมากกว่า 20 ปี อยู่ระหว่างปี1921-1996 แต่ไม่เก่าไปถึงปี 1920 ถ้าเก่าเกินกว่านั้นเขาเรียก แอนทีค หรือ วัตถุโบราณ การตกแต่งบ้านสไตล์Vintage เป็นการตกแต่งบ้านที่ได้จำลองรูปแบบการออกแบบพื้นที่ใช้สอยในยุคเก่ามาใช้ร่วมกัน กับของตกแต่งที่มีอายุการใช้งานนาน (เก่า) ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ ตู้เตียง เก้าอี้ โซฟา เคาน์เตอร์ แจกัน โคมไฟ ฯลฯรวมไปถึงการตกแต่งภายในที่เน้นการสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่น จากการเลือกสีสันของลวดลายของผ้าม่าน วอลเปเปอร์และโทนสี
การเลือกใช้วัสดุและสีในสไตล์Vintage
เน้นการตกแต่งผนังเป็นการสร้างจุดโดดเด่นให้ผนังห้องดูน่าสนใจ ไม่เรียบง่ายจนเกินไป การตกแต่งผนังห้องสไตล์วินเทจนิยมสร้าง Display ด้วยการจัดกลุ่มผสมชิ้นส่วนข้าวของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นจานเซรามิกเพ้นต์ภาพวิวอาคารบ้านเรือนหรือภาพคนในยุคคลาสสิก หากใครมีจานเซรามิกแบบนี้สะสมอยู่ก็สามารถนำมาแขวนโชว์หรือตกแต่งได้ รวมไปถึงกรอบรูปขนาดใหญ่ เพิ่มความสนุกสนานและสีสัน ช่วยสร้างอารมณ์วินเทจได้อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ส่วนการใช้สี สไตล์วินเทจมักใช้สีโทนอ่อน ไม่เน้นความฉูดฉาดแต่ดูหรูหรา เช่นสีขาว ครีม เหลือง รวมไปถึงชมพูอ่อนและสีม่วงอ่อนๆ
การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
การเลือกเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจนิยมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวที่มีลักษณะเก่าและย้อนยุค ส่วนใหญ่มักเน้นโทนสีน้ำตาล ยิ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีร่องรอย ยิ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศของความเป็นวินเทจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญการตกแต่งภายในสไตล์วินเทจไม่จำเป็นต้องใช้การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์เป็นแบบวินเทจทั้งหมดเพราะสามารถนำของตกแต่งสไตล์อื่น เช่น โมเดิร์น มาจัดวางให้อยู่ด้วยกันได้ แต่ต้องใช้สีหรือลักษณะผิวที่คล้ายๆกันเพื่อให้เกิดความกลมกลืนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน



ตกแต่งสไตล์ Log Home
หรือเรียกแบบเต็มๆว่า Log cabin styled home ให้อารมณ์แบบหนังคาวบอย สไตล์Log Home เป็นบ้านที่ทำจากไม้ซุงเป็นท่อน ๆ มาบากส่วนที่ไขว้กันให้สามารถประกบกันตามมุมต่างๆและยึดเข้าด้วยกันให้สนิทที่สุด ส่วนใหญ่ใช้ไม้สน ที่มีความตรงและท่อนไม่ใหญ่มาก สามารถนำมาเรียงซ้อนกันได้ สามารถกันความร้อนหนาวได้ดี และแข็งแรงมาก มีรูปทรงเรียบง่าย การใช้ท่อนซุงในการก่อสร้างจึงมีเอกลักษณ์เด่นเฉพาะตัว เหมาะสำหรับทำรีสอร์ทเป็นอย่างยิ่ง การเลือกใช้วัสดุตกแต่งสไตล์นี้ มักจะใช้วัสดุธรรมชาติโดยเฉพาะไม้ เพื่อให้ได้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด


ตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียน (Scandinavian Style)
กล่าวถึง สไตล์สแกนดิเนเวียน หลายท่านคงคิดไปถึง IKAE กันแล้วใช่ไหมคะ การตกแต่งแบบ Scandinavian Style(บางครั้งเรียกว่านอร์ดิกสไตล์) เป็นการตกแต่งบ้านของประเทศโซนยุโรปทางเหนือ ได้แก่ เดนมาร์ค นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ ที่มีความหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี ในฤดูหนาวจะมีความมืดสลัวเกือบทั้งวันเนื่องจากขั้วโลกเหนืออยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก แต่ละประเทศก็มีสไตล์ลักษณะเฉพาะตัวของตัวเอง จุดเด่นของการออกแบบตกแต่งสไตล์สแกนดิเนเวียนคือความเป็นธรรมชาติและการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติประเทศสวีเดนได้ชื่อว่าเป็น Land of Castles and Cottages งานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นรูปทรงเราขาคณิต
การเลือกใช้วัสดุและสีใน สไตล์ Scandinavian
เนื่องจากแถบสแกนดิเนเวียนมีอากาศหนาวเย็นและมืดสลัวเกือบทั้งวัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกสว่างและอบอุ่น จึงนิยมใช้การตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนไปจนถึงสีขาว การตกแต่งสไตล์นี้จึงมีจุดเด่นที่ความเรียบง่าย เน้นประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามลงตัว ดูสะอาดตา เน้นแสงสว่างจากธรรมชาติ ให้ดูอบอุ่น ให้ความรู้สึกสบายตา นิยมใช้ไม้ไพน์และเบิร์ช แบบดิบๆเปลือยๆให้เห็นสีไม้แท้ๆมาทำพื้นเฟอร์นิเจอร์ สีที่นิยมใช้ในการเพนท์เฟอร์นิเจอร์แบบคันทรี เช่น สีเนวี่บลู สีแดง สีเขียวขรีม สีทอง
ผ้าที่ใช้ในการตกแต่งจะมีลวดลายกระจุ๋มกระจิ๋มและมักเป็นลายเล็กๆประปรายไปตามเนื้อผ้า เพื่อบ่งบอกความเป็นสแกนดิเนเวียนสไตล์ของแท้ และที่ขาดไม่ได้คือผ้าลายตารางหมากรุกแบบสวีดิชสไตล์



ตกแต่งสไตล์โมรอคโค (Morocco Style)
ศิลปะการออกแบบตกแต่ง สไตล์โมรอคโค ประกอบด้วยสีสัดจัดจ้าน รายละเอียดปลีกย่อยในการตกแต่งค่อนข้างมาก เนื่องจากโมรอคโคเป็นดินแดนที่ผสมผสานวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งของอาหรับ ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปนและวัฒนธรรมเบอร์เบอร์ (เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นทางตอนเหนือสุดของทวีปแอฟริกา ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลาม) ประเทศโมร็อคโค ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา อยู่สุดขอบด้านตะวันตกเฉียงเหนือ
มีชายฝั่งทอดยาวบนมหาสมุทรแอตแลนติก ผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ต่อเนื่องถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เกิดสภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย สถาปัตยกรรมโมรอคโคจึงโดดเด่นไม่เหมือนที่ใดในโลก
การเลือกใช้วัสดุและสีในสไตล์Morocco
สถาปัตยกรรมแบบ Moroccan Style จะมีเอกลักษณ์ที่หลังคารูปโดม ประตูโค้ง ใช้สีสดๆ พวกโทนสีส้ม แดง เหลือง โมรอคโคเป็นประเทศที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายเข้าด้วยกัน ความเป็นMorocco Style จึงไม่นิยมความเรียบหรือว่างเปล่า แต่ชอบรายละเอียดเยอะๆ เน้นลวดลายด้วยงานที่ใช้ฝีมือและทักษะสูง ซับซ้อน โชว์ความยากในการสร้างสรรค์ เช่น การประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสกที่บรรจงติดอย่างปราณีต ลวดลายสีบนฝาผนัง โคมไฟทองเหลืองฉลุประดับกระจกหลากสี เป็นต้น ผนังสีเข้ม ผ้าบุและพรมลวดลายสดใน ก็เป็นเอกลักษณ์เด่นของสไตล์โมรอคโค สวนและบริเวณลานน้ำพุ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการตกแต่งจากแถบ Mediterranean





ตกแต่งสไตล์ตะวันออกร่วมสมัย (Oriental Contemporary Style)
สไตล์โอเรียลทัล คอมเทมโพรารี่ เป็นการผสมผสานกลิ่นอายระหว่างการตกแต่งสไตล์ตะวันออกเข้ากับเสน่ห์ความงามแบบเอเชียอย่างลงตัว ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่ให้ความรู้สึกหรูหรา สง่างาม แฝงไว้ด้วยรสนิยมแห่งการสร้างสรรค์ ตอบสนองจินตนาการและความใฝ่ฝันของผู้เข้าพัก จุดเด่นของสไตล์นี้คือ การถ่ายทอดสถาปัตยกรรมที่คลาสสิคให้ออกมาร่วมสมัย มีกลิ่นอายตะวันออก คำจำกัดความของสไตล์ตะวันออกจึงถูกรวมความในมุมมองของโลกตะวันตก ที่สรุปภาพรวมของสไตล์ในภาพกว้าง คือสไตล์ที่เน้นองค์ประกอบของธรรมชาติแวดล้อมของภูมิประเทศผสมผสานความเชื่อทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น แต่พอยุคสมัยของกาลเวลาผ่านไป กระแสนิยมความทันสมัยทำให้เกิดความผสมผสานของสไตล์ในสัดส่วนที่พอเหมาะพอดี เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตยุคปัจจุบัน
การเลือกใช้วัสดุและโทนสี
สไตล์ตะวันออก คือ สีสันธรรมชาติที่เรียบง่าย ความลงตัว เป็นการนำเอาความเรียบง่ายของสองสไตล์มารวมกันให้ดูสมัยใหม่ โทนสีที่บ่งบอกความเป็นธรรมชาติในแบบตะวันออก ที่เห็นเด่นชัด คือ โทนสีไม้ธรรมชาติ สีปูนดิบหรือสีของโลหะ เช่น ตะกั่ว ทองแดง ทองคำ หรือจะเติมวัสดุสเตนเลสเป็นเส้นสายประกอบเฟอร์นิเจอร์หรือประดับตกแต่งก็มีส่วนช่วยให้ความสมัยใหม่ที่กลมกลืนได้ การเลือกใช้ผ้าในการตกแต่งจะเน้นผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ อาทิ ผ้าไหม และผ้าฝ้าย ควรเลือกสีพื้น จะเป็นสีเรียบๆหรือสีสันสดใสก็ได้ แต่ไม่ควรเลือกผ้าที่มีลวดลายที่บ่งบอกความเป็นพื้นถิ่น เพราะเราต้องการกลิ่นอายตะวันออกจากความเป็นธรรมชาติของเนื้อผ้า มากกว่าลวดลาย เพราะจะดูขัดตากับรูปแบบทันสมัยที่เรากำลังนำกลิ่นอายตะวันออกมาสอดแทรก
Oriental Contemporary Style หรือที่เรียกว่า สไตล์การตกแต่งแบบตะวันออกร่วมสมัย จึงเป็นการผสมผสานความชัดเจนของแต่ละสไตล์มาอยู่รวมกันในสัดส่วนที่พอเหมาะพอดี สะท้อนถึงความร่วมสมัยออกมาอย่างชัดเจน มองเห็นถึงยุคสมัย และความแตกต่างของสไตล์ที่ลงตัว



การตกแต่งไสตล์ยุโรป (Europe style)
ลักษณะที่โดดเด่นของการตกแต่งสไตล์ยุโรป คือการนำความงามของศิลปะแห่งยุคสมัยมาใช้ในการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเส้นสาย ลวดลายและรูปทรงต่างๆ รวมถึงโทนสี บ่งบอกถึงความหรูหรา ภูมิฐาน ปัจจุบันสถาปัตยกรรมยุโรปที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบตกแต่งของคนไทย มาจากฝั่งยุโรปตอนใต้และตะวันออก คือ อิตาลี่และฝรั่งเศส เป็นส่วนมาก สืบเนื่องมาจากความรุ่งเรืองของยุคสมัยที่นิยมความหรูหรา ฟุ่มเฟือย ความพิถีพิถันในวิธีชีวิตของผู้คนในยุโรป ซึ่งอยู่ในยุคเฟื่องฟู ทั้งเครื่องมือ เครื่องใช้ เฟอร์นเจอร์ และของตกแต่งบ้านก็ล้วนมีรายละเอียด และความสวยงาม ซึ่งความโด่ดเด่นของกิจกรรม ,ประติมากรรม , และสถาปัตยกรรม ทำให้ชื่อเสียงของศิลปินหลายคนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกตลอดกาล เช่น ลีโอนาร์โด ดาวินชี , มิเกลันเจโล ราฟาเอล เป็นต้น และมักจะใช้คำว่า “สไตล์หลุยส์” เป็นคำที่บ่งบอกถึงสไตล์ที่หรูหรามีรสนิยม ซึ่งสไตล์หลุยส์นั้นก็คือ ยุคสมัยและศิลปวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุคหนึ่งของยุโรปหรือซีกโลกตะวันตกนั่นเอง
การเลือกใช้วัสดุและโทนสี
ลักษณะเด่นของการตกแต่งสไตล์ยุโรป คือการนำความงามของศิลปะแห่งยุคสมัยมาใช้ในการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเส้นสาย ลวดลาย และรูปทรงต่างๆ รวมถึงโทนสีที่บ่งบอกถึงความหรูหรา ภูมิฐาน เช่น สีเบจ สีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง และสีทอง การตกแต่งสไตล์ยุโรปใช้งบประมาณการตกแต่งค่อนข้างสูงบวกกับความประณีตของฝีมือช่าง งานออกแบบที่เกี่ยวข้องกับยุคสมัยจึงมิใช่เรื่องฉาบฉวยที่รู้สึกอยากแต่งในแบบนั้นก็สามารถแต่งได้ตามใจ แต่ต้องทำความเข้าใจในงานศิลปะยุคนั้นอย่างถ่องแท้ เพื่อบ่งบอกถึงความหรูหราและรสนิยมอย่างแท้จริง




การตกแต่งสไตล์บาหลี (bali style)
สถาปัตยกรรมสไตล์บาหลี ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย เพราะลักษณะภูมิประเทศแบบร้อนชื้นของบ้านเราใกล้เคียงกับประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการนำไปประยุกต์เป็นโรงแรม รีสอร์ท การตกแต่งสไตล์บาหลีเป็นความงามที่กลมกลืนเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งก็หาง่ายในประเทศ
การเลือกใช้วัสดุและโทนสี
เพื่อให้ได้อารมณ์แบบสไตล์บาหลีที่แท้จริง วัสดุที่เลือกใช้ต้องสัมผัสได้ถึงธรรมชาติและสีสันที่แสดงออกถึงความสดชื่น อบอุ่น “ไม้” จึงเป็นพระเอก ที่แสดงออกถึงสไตล์บาหลีขนานแท้ ไม่ว่าจะเป็นพื้น เสา ผนัง และฝ้าเพดาน งานไม้มีการแกะสลักอย่างสวยงาม ถือเป็นเอกลัษณ์ของช่างพื้นเมืองแถบบาหลีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ลวดลายส่วนใหญ่เป็นลายดอกไม้ และลายกนกคล้ายของไทย “หินทราย” เป็นวัสดุที่มาช่วยเปรกความอบอุ่นของเนื้อไม้ ให้อารมณ์แตกต่างไม่น่าเบื่อ




การตกแต่งสไตล์ไทย (Thai Style)
กล่าวถึงการตกแต่งในสไตล์ของต่างชาติมามากแล้ว ตอนนี้ที่ขาดไม่ได้เลยคือการตกแต่งในสไตล์แบบไทยๆ ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เพราะการตกแต่งในสไตล์ไทยให้ความรู้สึกถึงความร่มเย็นน่าอยู่ และความเป็นธรรมชาติ ทรงคุณค่าความงามเหนือกาลเวลา การออกแบบโดยใช้ ไม้ที่เป็นวัสดุธรรมชาติและการใช้วัสดุสิ่งทอจากพื้นบ้านในงานตกแต่งภายในช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น
การเลือกใช้วัสดุและโทนสี
วัสดุที่ใช้ประดับตกแต่งเน้นวัสดุที่ทำจากไม้ นอกจากนี้ยังเพิ่มบรรยากาศแบบไทยๆด้วยเครื่องจักรสาน สิ่งที่ประดิษฐ์จากวัสดุจากธรรมชาติ เทียนหอม เพื่อเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย สีส่วนใหญ่มักใช้โทนน้ำตาลจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ อาจมีสีขาว ตัดเพื่อให้ห้องดูสว่างสดใสขึ้น ใช้สีส้มของหลอดไฟช่วยสร้างบรรยากาศกลิ่นอายของความเป็นไทย
การตกแต่งสไตล์ชิโน-โปรตุกีส (Chino-Portuguese Style)
สถาปัตยกรรชิโน-โปรตุกีส
เริ่มต้นขึ้นที่แดนแหลมมลายูในสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก ประมาณปี พ.ศ. 2054 ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาทำการค้าบริเวณเมืองท่าลมะละกา และได้นำเอาศิลปวัฒนธรรม และวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่และสร้างบ้านตามสถาปัตยกรรมของตน ซึ่งช่างชาวจีนได้นำผังก่อสร้างไปดำเนินการ แต่ลักษณะได้เพี้ยนไปจากเดิมโดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์รวมถึงรูปแบบต่างๆตามความเชื่อของจีน เกิดเป็นการผสมผสาน ระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน ในประเทศไทยพบ สถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส ได้ในย่านเมืองเก่าของจังหวัดภูเก็ต ระนอง กระบี่ พังงา ตรัง และสตูล ตัวอาคารเป็นรูปทรงแบบยุโรป มีบัวปูนปั้นแบบยุโรป ช่องบานเปิดของหน้าต่างผสมผสานสไตล์ยุโรปกับจีนเอาไว้ ส่วนเฟอร์นิเจอร์เป็นการผสมกันระหว่างแบบ Chinese Style กับแบบยุโรป จึงมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว บ่งบอกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน อยู่เหนือกาลเวลา
การเลือกใช้วัสดุตกแต่งและโทนสี
แนวทางการตกแต่งสไตล์ชิโน-โปรตุกีส เป็นการเลือกเครื่องเรือนผสมระหว่างแบบยุโรกับจีน มีลักษณะร่วมสมัย การตกแต่งกรอบซุ้มประตู-หน้าต่างเป็นแบบยุโรป แต่ใช้บานแบบจีน ผนังบางส่วนตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบลายเลียนแบบกระเบื้องโบราณ โคมไฟรมดำโป๊ะแก้วแบบดัตซ์ โถชามBlue and White และพรมเปอร์เซีย ลวดลายกระเบื้องและไม้ฉลุแบบผสมสีฟ้า-ขาวได้รับอิทธิพลระหว่างอิสลามกับโปรตุเกส ให้ความรู้สึกงดงามไปอีกแบบ




การตกแต่งสไตล์โคโลเนียล (Colonial Style)
Colony
แปลว่า อาณานิคม เมืองขึ้น หรือหัวเมืองประเทศราช ส่วน Colonial เป็นคำ adj. แปลว่า เกี่ยวกับอาณานิคม ดังนั้น Colonail Style จึงหมายถึง ศิลปะแบบอาณานิคม ในยุคของการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจชาติตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลันดา ได้เข้ามาปลูกสร้างอาคารต่างๆไว้ในเมืองขึ้นของตน ถึงแม้ สยามประเทศของเราจะไม่เคยเป็นอาณานิคมของใคร แต่สถาปัตยกรรมแบบColonial Style ได้แผ่ขยายเข้ามายังสยามด้วยเหมือนกัน ในช่วงรัชกาลที่ 5 ในช่วงเวลานั้นสยามประเทศมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคม วัฒนธรรม การใช้ชีวิต การแต่งกาย รวมทั้งด้านสถาปัตยกรรมก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่นิมยมปลูกบ้านเรือนไทยที่เป็นอาคารไม้ จึงเริ่มมีสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเข้ามาผสม เกิดเป็นสไตล์โคโลเนียลที่มีลักษณะผสมผสานของรูปแบบแต่ละพื้นที่ ซึ่งได้รับอิทธิพลของช่างฝีมือพื้นถิ่นผสมเข้าไป
ตัวอาคารแบบโคโลเนียลยังนำลวดลายบางอย่างของศิลปะตะวันตกสมัยกรีก โรมันที่เรียกว่า “สมัยคลาสสิค” มาใช้ใหม่ เช่น หน้าต่างวงโค้งเกือกม้า หรือหัวเสาแบบโยนิก หรือไอโอนิก (แบบม้วนก้นหอย) และคอรินเทียน (มีใบไม้ขนาดใหญ่ประดับ) เป็นต้น นักวิชาการบางท่านไม่ชอบใช้คำว่า “โคโลเนียล” ซึ่งหมายถึง อาณาจักรแบบอาณานิคม มีลักษณะของการกดขี่แฝงอยู่ จึงมีบางคนเลี่ยงมาใช้คำว่า “นีโอคลาสสิค” แทน เนื่องจากเป็นคำกลางๆที่ใช้เรียกงานศิลปะซึ่งนำรูปแบบคลาสสิคมาใช้อีกครั้ง รูปแบบของอาคารแบบโคโลเนียลนั้นจะมีความหลากหลายตามอิทธิพลที่มาจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจ เนื่องจากในเบื้องต้นนั้น รูปแบบโคโลเนียล ก็คือ การนำเอาสถาปัตยกรรมของประเทศแม่ไปก่อสร้างในดินแดนอาณานิคม แล้วจึงค่อยปรับรูปแบบสู่ลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นอยู่ตามสภาพอากาศในแต่ละพื้นถิ่น ดังนั้นอาคารรูปแบบนี้จึงสามารถเรียกอีกชื่อได้ว่า เป็น “สถาปัตยกรรมอาณานิคม ”




นี่เป็นตัวอย่างสไตล์การออกแบบตกแต่งด้านสถาปัตยกรรมบางส่วน ที่ฉันหวังว่าจะนำไปเป็นไอเดียสำหรับออกแบบตกแต่งธีมโรงแรม-รีสอร์ทในฝันของคุณได้บ้างนะคะ เพื่อให้ได้รูปแบบที่ดีที่สุดจากความคิดสร้างสรรค์ที่ออกมาจากจินตนาการของคุณเอง แนวทางนี้ยังสามารถนำไปใช้สำหรับเป็นไอเดียสำหรับคนที่ต้องการสร้างบ้าน หรือสถานที่พักอาศัยส่วนตัวได้อีกด้วยค่ะ
“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ