คุณเชื่อไหมค่ะว่าภาพอุโมงค์ที่เจาะทะลุผ่านภูเขาหินที่คุณเห็นนี้ มันถูกขุดเจาะด้วยสองมือของคนเพียงคนเดียวค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายปรัมปรา ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร แต่มันคือเรื่องจริงที่ถ้าคุณรู้แล้วจะต้องอึ้งค่ะ
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
รับชมเป็นคลิปวิดิโอบน Youtube
ฉันเชื่อว่า มี 2 สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จได้ นั่นก็คือความรู้และแรงบันดาลใจค่ะ ดังนั้นในการแบ่งปันของฉันบนเว็บไซต์ A-LISA.NET นี้ ฉันไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องความรู้ในการทำธุรกิจโรงแรมมาแบ่งปันให้กับคุณค่ะ แต่ฉันยังมีแรงบันดาลใจดี ๆ มาเล่าให้คุณฟังดัวย เพราะถึงแม้คุณจะมีความรู้อย่างท่วมท้นอยู่มากมายแต่ถ้าคุณไม่มีแรงบันดาลใจมากพอก็คงจะไม่กล้าลงมือทำ
ถ้าคุณเชื่อว่าคุณย้ายภูเขาทั้งลูกได้ คุณก็ทำได้ เหมือนกับชายคนนี้ที่ใช้เพียงแค่สองมือกับปณิธานอันแน่วแน่ขุดเจาะอุโมงค์เพียงลำพังคนเดียวจนทะลุภูเขาหินและกลายเป็นเส้นทางตัดผ่านให้ผู้คนสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกค่ะ
การสร้างอุโมงค์ด้วยสองมือจากคนเพียงคนเดียวนี้เรื่องมีอยู่ว่า ย้อนไปเมื่อประมาณ 250 กว่าปีที่แล้ว มีชายหนุ่มหน้าตาดีและฉลาดเฉลียวคนหนึ่งมีชื่อว่า “ชินก่าย” ได้เข้าไปเป็นคนรับใช้อยู่ที่บ้านขุนนาง ด้วยความหน้าตาดีนี่เองจึงไปถูกอกถูกใจคุณนายของขุนนางคนนั้นเข้า และในที่สุดซินก่ายกับภรรยาเจ้านายก็ได้ลักลอบเป็นชู้กัน
อยู่มาวันหนึ่งขุนนางเกิดจับได้ขึ้นมา ด้วยความโกรธจัดขุนนางจึงกระชากดาบซามูไรออกมาเพื่อจะฟันซินก่ายและภรรยาให้ตายลงไปด้วยกัน แต่ภรรยาของขุนนางไวกว่าจึงได้รีบชักดาบที่อยู่ข้างฝาแทงทะลุหัวใจท่านขุนนางตายคาที่ จากนั้นทั้งคุณนายและซินก่ายก็รีบเก็บข้าวของแล้วหนีตามกันออกมา
ทั้งคู่หนีออกมาใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ จนเงินทองของมีค่าที่นำติดตัวมานั้นเริ่มร่อยหรอและในที่สุดเมื่อเงินหมดแล้วก็ประทังชีวิตด้วยการลักขโมย เป็นแบบนี้เรื่อยมาอยู่สักพักจนซินก่ายเริ่มเบื่อหน่ายและเห็นความไม่เที่ยงนี้ในใจก็เกิดเป็นทุกข์อย่างหนัก เขารู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาที่ตนเองเป็นชู้กับภรรยาเจ้านายและเป็นสาเหตุทำให้เจ้านายซึ่งเป็นผู้มีพระคุณของเขานั้นต้องตาย และในที่สุดซินก่ายก็ตัดสินใจทิ้งภรรยาที่เคยเป็นอดีตภรรยาเจ้านายแล้วหนีไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง เขาไปที่วัดแห่งนี้เพื่อจะสารภาพบาปกับพระและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้านายที่ตายไปแล้ว และหลังจากนั้นซินก่ายก็ตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตาย แต่เจ้าอาวาสของวัดนั้นบอกเขาว่า ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอกแต่ให้ซินก่ายบวชพระและทำคุณงามความดีเพื่อชำระบาปเก่าแทน หนุ่มซินก่ายยอมบวชตามคำชี้แนะของเจ้าอาวาสเขาจึงอยู่ที่วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรม เมื่อยู่กับอาจารย์ได้สักระยะหนึ่งพระซินก่ายก็ตัดสินใจออกธุดงค์
พระซินก่ายเดินทางธุดงค์รอนแรมมาเรื่อย ๆ จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านเห็นพระธุดงค์เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านก็ดีใจมากรีบนิมนต์ท่านไปสวดศพให้กับชาวบ้านคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุตกเขาตาย เมื่อสวดศพเสร็จแล้วชาวบ้านจึงพาพระซินก่ายไปดูที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเส้นทางเดินจากหมู่บ้านเข้าไปในเมือง เส้นทางนี้ต้องเดินลัดเลาะผ่านภูเขาหินและช่องเหวลึก เมื่อมีฝนและหิมะตกเส้นทางจะลื่นมากทำให้คนที่เดินทางสัญจรไปมาบนเส้นทางนี้ตกเขาลงไปตายปีละหลายคน
เมื่อได้ฟังดังนี้ หลวงพ่อซินก่ายก็รู้สึกสงสารชาวบ้านมากจึงคิดอยากช่วยชาวบ้านให้ปลอดภัยและเดินทางโดยสะดวก ท่านจึงตัดสินใจหยุดการธุดงค์และตั้งปณิธานว่าจะขุดเจาะอุโมงค์เพื่อทะลุภูเขาหินนี้ให้ได้ เมื่อท่านบอกเรื่องนี้แก่ชาวบ้านทำให้ชาวบ้านที่ได้ฟังถึงกับอึ้งว่าพระรูปนี้บ้าหรือว่าวิปลาสไปแล้วแน่ ๆ ภูเขาหินลูกใหญ่ความยาวเกือบ 200 เมตร แล้วจะเจาะทะลุผ่านได้อย่างไร
หลังจากที่ได้ตัดสินใจและตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะขุดภูเขาหินนี้เป็นอุโมงค์ให้สามารถทะลุผ่านไปได้ พระซินก่ายก็ลงมือทำทันที ท่านใช้เพียงแค่สองมือของท่านและอุปกรณ์ผู้ช่วยมีแค่ค้อนกับสิ่วเท่านั้น ส่วนพวกชาวบ้านก็ได้แต่หัวเราะเยาะพระบ้ารูปนี้แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยท่านเลยสักคนเดียว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงค้อนกับสิ่วที่พระซินก่ายกำลังสะกัดภูเขาหินนั้นดังขึ้นทุกวันตั้งแต่เช้ามืดยันพระอาทิตย์ตกดิน ท่านค่อย ๆ ใช้ค้อนกับสิ่วสะกิดหินออกมาทีละนิด ทีละนิด วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จนย่างเข้าสู่ปีที่สามอุโมงค์ที่ท่านขุดเจาะได้ก็มีความยาวประมาณ 6-7 เมตร เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 2 เมตรต่อปี หรือถ้าจะคิดให้ละเอียดมากขึ้นก็คือท่านสามารถขุดอุโมงค์ได้เฉลี่ยวันละไม่ถึง 1 เซนติเมตรค่ะ
เมื่อนานวันเข้าชาวบ้านแถวนั้นเห็นความตั้งใจและเอาจริงเอาจังของพระซินก่าย ก็นึกละอายใจออกมาช่วยขุดอุโมงค์บ้างแต่พอเห็นว่างานหนักก็ทำต่อไปไม่ไหว ค่อย ๆ ทยอยหายไปทีละคนสองคนจนสุดท้ายก็เหลือแต่พระซินก่ายอยู่รูปเดียวเหมือนเดิม
พระซินก่ายยังคงมุ่งมั่นขุดอุโมงค์เรื่อยไปไม่ย่อท้อจนย่างเข้าสู่ปีที่ 28 จากพระหนุ่มก็กลายเป็นหลวงพ่อ สังขารเริ่มแก่ชราลง ขาเริ่มปวด ตาก็ไม่ค่อยดีเหมือนเดิมแล้ว แต่อุโมงค์ที่หลวงพ่อตั้งปณิธานไว้ก็ขุดจวนใกล้จะเสร็จเช่นกัน ทำมาได้กว่า 80 % แล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง มีซามูไรหนุ่มเดินทางมาที่อุโมงค์ที่หลวงพ่อซินก่ายกำลังขุดอยู่ เขามาเพื่อตามหาพระรูปหนึ่งและได้ข่าวว่าพระรูปที่เขาตามหานั้นอยู่ที่นี่ เมื่อหลวงพ่อได้พบกับซามูไรหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร และมาเพื่ออะไร?
ซามูไรหนุ่มคนนี้ก็คือบุตรของขุนนางอดีตเจ้านายเก่าของหลวงพ่อที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง เขามาตามหาหลวงพ่อเพื่อล้างแค้นให้กับบิดาตัวเอง เมื่อซามูไรเห็นหลวงพ่อก็ชักดาบเตรียมตัวสังหารทันที หลวงพ่อก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ ต่อคมดาบ ท่านเพียงแต่พูดขึ้นมาว่า “หัวของหลวงพ่ออยู่ตรงนี้แล้ว แต่ขอเวลาผ่อนผันจนกว่าจะขุดเจาะอุโมงค์ให้แล้วเสร็จก่อนได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วก็จะมอบศีรษะนี้ให้แต่โดยดี” ซามูไรหนุ่มเป็นคนมีคุณธรรมในหัวใจอยู่บ้าง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมหาชนถ้ารออีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร หลวงพ่อก็แก่แล้วคงจะไม่หนีไปไหน
เมื่อรอคอยได้สัก 3-4 วัน ซามูไรหนุ่มก็รู้สึกร้อนรนเพราะไม่เห็นวี่แววว่าอุโมงค์หินนี้มันจะใกล้เสร็จซะที เขาจึงอยากจัดการเสียให้จบ ๆ ไป คิดได้ดังนี้ ซามูไรจึงถือดาบเดินเข้าไปในอุโมงค์ตั้งใจจะไปตัดหัวหลวงพ่อให้จบเรื่อง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เขากลับได้ยินเสียง ก๊อก ก๊อก ก๊อก ของค้อนกับสิ่วที่กำลังสะกัดหินดังขึ้นพร้อม ๆ ก้บเสียงสวดมนต์ของหลวงพ่อ ซามูไรหนุ่มถึงกับขนลุกซู่หักใจไม่กล้าตัดหัวพระเฒ่ารูปนี้เพราะกลัวบาป ในใจของเขาได้แต่คิดว่า คนเลวที่ฆ่าพ่อของเขาทำไมถึงกลายเป็นพระที่บริสุทธิ์อย่างนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อซินก่ายก็ได้อาสาสมัครเป็นผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนซึ่งเป็นซามูไรหนุ่มนั่นเอง หลวงพ่อกับซามูไรหนุ่มทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในระหว่างที่ทำงานนั้นซามูไรก็พยายามสังเกตนิสัยใจคอของหลวงพ่อไปด้วย เขาอยากรู้ว่าพระรูปนี้เสแสร้งแกล้งเป็นพระที่หน้าซื่อแต่ใจคดหรือไม่
เวลาผ่านไปอีก 2 ปี ในที่สุดปณิธานที่หลวงพ่อตั้งไว้ก็บรรลุผล เพราะสามารถขุดเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขาหินได้สำเร็จแล้ว หลวงพ่อวางค้อนและสิ่วลงช้า ๆ แล้วหันหน้าไปบอกซามูไรหนุ่มว่า “หลวงพ่อพร้อมแล้ว เชิญเธอทำหน้าที่ได้”
ซามูไรหนุ่มได้ยินดังนั้น เขาทรุดตัวคุกเข่าลงก้มตัวหมอบกราบหลวงพ่อพรางน้ำตาไหลพราก ความแค้นในอดีตมลายหายไปหมดแล้วหลงเหลือไว้แต่ความเลื่อมใสศรัทธาจนหมดหัวใจ เขาจึงกล่าวกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของผู้เป็นอาจารย์ได้อย่างไร”
อุโมงค์แห่งนี้ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมีชื่อว่า “อุโมงค์สีน้ำเงิน” คนญี่ปุ่นเรียกว่า อาโอโนะ โดมอน (Ao no domon) หลวงพ่อซินก่ายใช้เวลาขุดเจาะเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1730 และเสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1763 เป็นอุโมงค์ลอดภูเขาหินที่มีความยาว 185 เมตร กว้าง 30 ฟุต และมีความสูง 20 ฟุต ตั้งอยู่ที่ฐานสันเขาเกียวชูโฮะที่สูงตระง่านมีด้านหน้าติดกับแม่น้ำยามาคูมิ เมื่อเริ่มเปิดใช้งานได้มีการเก็บค่าผ่านทางจากผู้คนที่สัญจรไปมาทำให้อุโมงค์แห่งนี้กลายเป็นถนนที่มีค่าผ่านทางเก่าแก่ของญี่ปุ่น ปัจจุบันอุโมงค์แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมือง Nakatsu จังหวัดโออิตะ
เครดิตภาพจาก www.kyushuandtokyo.org
ถ้าคุณกำลังทำบางสิ่งบางอย่างอยู่และมันยังไม่บรรลุผลสำเร็จ ทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ คุณต้องเชื่อมั่นจนสุดหัวใจค่ะว่าคุณไปต่อไหว คุณต้องเชื่อว่าคุณสามารถยืนหยัดและก้าวผ่านบททดสอบแห่งความท้าทายของโลกใบนี้ไปได้ ความเชื่อนั้นมีอานุภาพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อคุณเชื่อว่าคุณทำมันได้ คุณเชื่อว่าคุณรับมือกับมันไหว และเมื่อคุณมีความเชื่อมากพอว่าคุณสามารถเคลื่อนภูเขาได้ทั้งลูก คุณก็จะสามารถเคลื่อนภูเขาได้จริง ๆ ค่ะ
ฝากถึงท่านที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมทุกท่านนะคะ ฉันหยิบยกเรื่องเล่านี้มาแบ่งปันให้กับคุณเพราะอยากให้คุณมีความเชื่อค่ะ ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้คุณก็จะทำได้ และฉันจะเป็นผู้ช่วยให้กับคุณเองค่ะ
“ 2 สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ คือความรู้และแรงบันดาลใจ โดยมีเป้าหมายคือความสุข”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ