
จุดเริ่มต้นเกิดจากที่อยากกินพิซซ่าและสเต็ก เมื่อเชื้อไวรัส Covid-19 ระบาด ฉันก็กลับมาอยู่ที่อำเภอท่าลี่ จ.เลย เพื่อพักผ่อนและดูแลกิจการโรงแรม Le bar tarry แต่อยู่ได้สักพักก็เกิดอาการคิดถึงเมืองหลวงมีความอยากกินพิซซ่าขึ้นมาอย่างแรงค่ะ ไปซื้อที่ 7-11 ก็ยังแก้ขัดไม่ได้ เลยโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊คเล่น ๆ ว่าอยู่ท่าลี่อยากกินพิซซ่า ทำไงดี?
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
ปรากฎว่า มีเพื่อน ๆ ในเฟสบอกว่า อยู่ที่อำเภอท่าลี่มีคนทำพิซซ่าแบบโฮมเมดเตาฟืนอร่อยมากพร้อมกับแจ้งพิกัดและผู้ติดต่อ ด้วยความอยากกินพิซซ่ามาก ๆ ฉันก็เลยทักเฟสคนทำพิซซ่าตามที่ได้รับคำแนะนำมา และสั่งพิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนและหน้าหมูสับตามเมนูที่บอกไว้ในเฟส (ในใจยังรู้สึกค้าง ๆ คาๆ ว่าพิซซ่าบ้านนอกมันจะอร่อยจริงป่าวว่ะ?)
พิซซ่าร้านนี้ต้องสั่งแบบ Pre-Order เท่านั้นและนัดรับในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นถึงจะได้กิน (เออ…เรื่องมากไปอีก) พี่เจ้าของร้านถามว่าสะดวกนัดรับที่หน้าอำเภอหรือว่าจะมารับเองที่ไร่ ฉันเลยแจ้งว่าจะไปรับเองที่ไร่เพราะมีธุระต้องเข้าไปในตัวอำเภออยู่แล้ว พี่แกจึงส่งพิกัดแผนที่มาให้ ความจริงคืออยากไปเห็นเองกับตานั่นแหละว่าร้านพิซซ่าที่สั่งยากสั่งเย็นร้านนี้มันจะหน้าตาเป็นยังไง
หลังจากเสร็จธุระและได้เวลานัดรับพิซซ่าตอนเที่ยงตรง ฉันก็ขับรถไปตามแผนที่ที่ได้รับมา เส้นทางของร้านต้องขับรถออกจากอำเภอท่าลี่ไปอีกประมาณ 3 กม.และเมื่อเห็นป้ายร้านอยู่ด้านขวามือก็ให้เลี้ยวขวาตรงถนนเส้นเล็ก ๆ เข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร ซึ่งถนนเส้นนั้นขนาบด้วยไร่มันสำปะหลังทั้งสองฝั่งจนฉันคิดว่าตัวเองต้องขับรถหลงทางแน่แล้ว จึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเจ้าของร้านแต่ในจุดที่เป็นทางรถขับเข้าไปนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แถมละแวกนั้นก็ไม่มีใครผ่านมาให้สอบถามเส้นทางสักคนเอาเป็นว่าถนนทางเข้ามันดูเปลี่ยวมากละกัน ในที่สุดฉันจึงตัดสินใจเดินหน้าต่อเพราะอยากเห็นกับตาว่าร้านนี้มันตั้งอยู่ตรงไหนแม้ว่าในใจจะขับไปบ่นไปก็เหอะ
ในที่สุดก็มาถึง “บ้านไร่ภูคูนคำ” จุดหมายที่นัดรับพิซซ่าจนได้ เมื่อฉันจอดรถและเดินเข้าไป ก็มีพนักงานต้อนรับเป็นหมาไทยพันทางสีเทา ๆ ดำ ๆ ตัวหนึ่ง วิ่งมาเห่า บ๊อก ๆ พร้อมกระดิกหางสองสามทีพอเป็นพิธี และมีเสียงตะโกนออกมาเป็นภาษาไทยสำเนียงอังกฤตดังขึ้นว่า “รอ 10 นาที“
ฉันเหลือบมองนาฬิกาบนหน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่ออยากเช็คว่าฉันมาเร็วไปหรือเขาทำช้าไป แต่ก็ตัดใจไม่หัวเสียเรื่องเวลาเพราะอยากดูบรรยากาศรอบ ๆ จึงเดินเลาะเล่นไปทางบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เข้าใจว่าใช้เป็นเรือนครัวตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
พอดีกับ “พี่ไก่” เจ้าของร้านตัวจริงกลับมาจากไปส่งพิซซ่าในหมู่บ้าน จึงได้มีโอกาสทักทายแนะนำตัวเองจนเป็นที่รู้จักกัน จากนั้นฉันจึงได้ขออนุญาตพี่ไก่ไปดูขั้นตอนการทำพิซซ่าจากสามีของพี่ไก่ซึ่งเป็นชายหนุ่มชาวต่างชาติ ที่กำลังทำพิซซ่าให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่ว ฉันถามเขาว่าเคยเป็นเชฟมาก่อนหรือเปล่า? แกตอบว่า เปล่า แค่ชอบเข้าครัวทำอาหารเท่านั้น
ระหว่างที่รอพิซซ่าฉันจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ไก่ ทำให้ได้รู้ว่าพี่ไก่และสามี คือตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง และสนับสนุนการเกษตรแบบอินทรีย์ สินค้าทุกอย่างของที่ไร่นี้ล้วนเป็นผลผลิตจากไร่ และได้รับใบรับรองออแกนิก
ระหว่างที่นั่งคุยกันนั้นพี่ไก่ก็ได้นำ Welcome Drink มาเสิร์ฟด้วย เป็นชาซึ่งมีส่วนผสมจากสมุนไพรหลายชนิดแต่มีพระเอกคือ “ใบเนียมอ้ม” เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อสมุนไพรแปลกหูแบบนี้ พี่ไก่เล่าว่าใบเนียมอ้มไม่ใช่ของใหม่แต่เป็นสมุนไพรไทยที่ใช้กันมานานมากแล้ว มีสรรพคุณทางยาหลายอย่างและยังใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำน้ำหอมมาตั้งแต่ยุคโบราณอีกด้วย เพราะใบเนียมอ้มจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว หอมคล้ายกลิ่นใบเตยแต่ลึกล้ำกว่า ในไร่ภูคูนคำจึงปลูกต้นเนียมอ้มไว้จำนวนมากเพื่อนำมาทำน้ำปรุง
พี่ไก่ยังบอกอีกด้วยว่า พี่ไก่ไม่มีความรู้เรื่องการตลาดและการขายเพราะก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่ NGO แต่พี่ไก่ก็อยากลงมือทำและอยากลองทำดู โดยที่พี่ไก่ไม่รู้หรอกว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไปได้ไกลแค่ไหน ฉันนับถือน้ำใจของพี่ไก่จริง ๆ ที่ใจกล้ามาซื้อที่ดินอยู่อำเภอเล็ก ๆ และลงทุนลงแรงพัฒนาที่ดินให้เกิดมูลค่าและยังต่อยอดด้วยการสร้างวิสาหกิจชุมชนและแบ่งปันความรู้ให้กับเกษตรกรผู้ที่สนใจด้วยแนวคิดเกษตรทฤษฎีขี้คร้าน ซึ่งพอจะสรุปรวม ๆ ตามแนวคิดนี้ได้ว่าเป็นหลักการทำการเกษตรตามวิถีธรรมชาติ เช่น ไม่ไถพรวนดิน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่กำจัดวัชพืช เป็นต้น สรุปแบบเข้าใจง่ายของเกษตรทฤษฎีขี้คร้านก็คือว่าเราไม่ต้องไปทำอะไรเดี๋ยวธรรมชาติจะจัดการปรับสมดุลด้วยตัวของเขาเอง
ดังนั้น พืชผลผลิตที่ได้จากไร่ภูคูณคำตามแนวเกษตรทฤษฎีขี้คร้านจึงมีรสชาติที่ดีเมื่อนำมาปรุงเป็นเมนูอาหารจึงทำให้อาหารนั้นมีรสชาติอร่อยมาก และพิซซ่าของบ้านไร่ภูคูณคำก็อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมาจึงไม่แปลกใจเลยว่าแม้ร้านจะอยู่ลึกเข้าไปในไร่สักหน่อย ถนนทางเข้าก็แสนจะแคบแต่ทำไมคนถึงได้อยากเดินทางมาชิมพิซซ่าที่นี่กันนัก
ปัจจุบันนี้ นอกเหนือจากเมนูพิซซ่าหน้าต่าง ๆ แล้วพี่ไก่ยังได้เพิ่มเมนูสเต็กและซุปเห็ดซึ่งก็อร่อยไม่แพ้เมนูพิซซ่าเลยค่ะ และยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปออกมาอีกหลายรายการ อีกทั้งยังเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์เล็ก ๆ ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่อยากนอนชมหมอกชมดาวที่ไร่ด้วยค่ะ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า
ฉันอยากนำเรื่องราวของพี่ไก่และบ้านไร่ภูคูนคำมาแบ่งปัน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังคิดอยากเป็นเจ้าของธุรกิจฟาร์มสเตย์เล็ก ๆ สักแห่งบนที่ดินของตัวเองค่ะ หากคุณตัดสินใจได้แล้วก็อย่ากลัว ลงมือทำและลุยกันเลย ขอเพียงมีใจรักและอย่ากลัวกับการเริ่มต้น ถ้าใจคุณไปถึงร่างกายคุณก็ไปถึง ไม่เริ่มในตอนนี้คุณจะไปเริ่มเอาตอนไหน?
สิ่งหนึ่งที่ฉันกับพี่ไก่มีแนวคิดตรงกันก็คือ งานที่เราตัดสินใจเลือกที่จะทำนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขค่ะ เพราะเมื่อเราเกิดมาแล้วเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนเส้นทางที่เราเลือกเดิน
ปล. พิซซ่า ถาดละ 129 บาท ชีสอย่างเยอะ สเต็กเร่ิมต้นที่ 139 บาท อร่อยมากๆค่ะ
“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ
