
“ครืน ครืน ครืน”
เสียงฟ้าร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับประกายแสงสีม่วงบนท้องฟ้าสว่างแปลบปลาบดูน่ากลัวเหลือเกิน แต่นั่นก็ยังไม่มากพอจะหยุดหัวใจที่กำลังบ้าคลั่งขาดสติของฉันลงได้
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
บ่ายวันนี้ หลังจากที่เปิดอ่านเอกสารฉบับหนึ่งที่นายบุรุษไปรณีย์นำมาส่งให้จบแล้วฉันก็แทบล้มทั้งยืน จดหมายฉบับนั้นส่งตรงมาจากกรมบังคับคดีเพื่อบังคับให้ฉันชำระหนี้ก้อนหนึ่งเพื่อปิดบัญชีเงินกู้ยืมจากธนาคาร ถ้าหากไม่ชำระหนี้ตามกำหนดแล้วหลักทรัพย์เพียงหนึ่งเดียวของฉันก็คือบ้านที่นำไปใช้ค้ำประกันจะถูกยึดทรัพย์และขายทอดตลาดเพื่อนำเงินสดมาชำระหนี้แทน บ้านหลังนี้เป็นทรัพย์สินเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของฉันที่ใช้อาศัยอยู่ร่วมกันกับพ่อและแม่ ถ้าหากไม่มีบ้านหลังนี้แล้วฉันและพ่อกับแม่ก็ไม่มีที่ไหนให้ไปพักอาศัยได้อีกแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้ เป็นฉันเองที่คิดอยากทำธุรกิจโดยก้าวกระโดดจากพนักงานขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมของบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอทำไปได้สักพักเริ่มเบื่อหน่ายหมดความท้าทายในอาชีพเลยคิดอยากออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง ฉันเริ่มต้นสร้างธุรกิจโดยที่ไม่มีทั้งความรู้และประสบการณ์มีเพียงแค่หัวใจที่อยากจะทำธุรกิจและอยากเป็นอิสระจากงานประจำ ฉันนำเงินเก็บที่พอมีทั้งหมดมาลงทุนไปกับการสั่งซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นนำเข้าจากประเทศจีนมาจำหน่าย ผ่านไปหกเดือนเงินเก็บของฉันก็หมดแต่เสื้อผ้าแฟชั่นที่สั่งเข้ามากลับขายไม่หมดกลายเป็นสินค้าค้างสต๊อกจนล้าสมัยและในที่สุดเสื้อผ้าแฟชั่นเหล่านี้ก็ขายไม่ออกจนต้องนำไปบริจาคที่บ้านเด็กกำพร้า
ธุรกิจแรกผ่านไปแต่หัวใจของฉันยังไม่ยอมแพ้ ฉันฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งจึงกลับไปบ้านเกิดเพื่อหว่านล้อมพ่อกับแม่ให้นำบ้านที่เราใช้อยู่อาศัยไปจำนองธนาคารเพื่อนำเงินมาเปิดร้านกาแฟและร้านอาหาร เมื่อเปิดกิจการแล้วในช่วงแรกทุกอย่างดูเหมือนจะดีไปหมด มีลูกค้าหลั่งไหลมาใช้บริการไม่ขาดเพราะพวกเขาคงอยากจะลองของใหม่และทำเลร้านของเราอยู่ใกล้กับถนนคนเดินเชียงคาน แต่ฉันก็มีความสุขและดีใจกับธุรกิจใหม่นี้ได้ไม่นานนักเพราะหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสขึ้นมาจนทำให้ผู้คนทั่วโลกบางส่วนติดเชื้อและคนส่วนใหญ่ต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าออกจากบ้านไปท่องเที่ยว อุตสากรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกต่างพังทลายไม่เว้นแม้แต่ร้านกาแฟและร้านอาหารเล็ก ๆ ของฉัน การเงินของฉันเริ่มสะดุด ปัญหาที่ตามมาคือฉันไม่มีเงินไปชำระหนี้เงินกู้ยืมที่นำมาลงทุนทำธุรกิจ เมื่อขาดส่งไปนานเข้าเจ้าหนี้ก็ยื่นฟ้องบังคับคดี ในตอนนี้ฉันมองไม่เห็นทางออกที่ไหนอีกแล้วในใจมีแต่ความเครียดและวิตกกังวล กลัวบ้านถูกยึด กลัวว่าพ่อกับแม่จะไม่มีที่อยู่และตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครได้อีกเพราะในสภาวะแบบนี้ใคร ๆ ก็คงเจอปัญหาแบบเดียวกันหมด
ฉันขับรถออกจากบ้านไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ไม่ได้หวาดกลัวต่อเสียงฟ้าร้องและพายุที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งฉันถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ริมฝั่งลำน้ำโขงพร้อมกับกระป๋องเบียร์ที่จอดรถแวะซื้อที่ร้านของชำในหมู่บ้านอยู่ในมืออีกหนึ่งกระป๋อง เสียงฟ้าร้องครืน ๆ ยังคงดังก้องไปทั่ว ก้อนเมฆไหลมารวมตัวอัดแน่นจนท้องฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีคล้ำและในที่สุดก็ระเบิดสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ต้นไม่ใหญ่ที่ฉันนั่งพิงใหล่ในตอนนี้ไม่สามารถจะต้านทานเม็ดฝนที่ทลายลงมาจากบนฟ้าได้ สภาพของฉันที่เปียกปอนใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นนี้หากกลายเป็นสายล่อฟ้าที่ปะทะกับอสุนีบาตทีเดียวแล้วสิ้นลมหายใจไปเลยก็คงดี ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ฉันเหนื่อยและฉันไม่มีแรงจะสู้ต่อไปอีกแล้ว นับจากนี้ต่อไปคงได้แต่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
ภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างวาบไปด้วยลำแสงสีม่วงและสายฝนที่สาดเทลงมาอย่างหนัก มีร่างหนึ่งปรากฎขึ้นพร้อมกับร่มสีดำคันใหญ่ในมือ ร่างนั้นโน้มตัวลงมาที่ฉันพร้อมกับนำร่มมากำบังสายฝนให้
“แม่หนูมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอันใด อย่างนั้นหรือ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองดูที่มาของเสียงนั้น ร่างไม่ได้รับเชิญที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าเป็นชายแก่คนหนึ่งอายุราวหกสิบห้าถึงเจ็ดสิบปี ดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันนั้นเฉียบคมแต่ก็แฝงไปด้วยแววเอื้ออาทรต่อคนแปลกหน้า
“…”
“เข้าไปหลบฝน กินน้ำชาร้อน ๆ ให้คลายหนาวที่บ้านของฉันก่อนเถอะนะ ตากฝนอย่างนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอาหรอก”
“…”
“อย่าทรมานตัวเองเลย ฟ้าหลังฝนนั้นมักสวยงามเสมอ”
ฉันยังคงเงียบไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อชายชราแปลกหน้าผู้นี้ แต่คำพูดประโยคสุดท้ายของเขาเหมือนมีมนต์สะกดฉันจึงลุกขึ้นและเดินตามชายชราคนนี้เพื่อไปยังบ้านของเขา
บ้านของชราผู้นี้ต้องเรียกว่ากระท่อมไม้ไผ่ถึงจะถูก เพราะมันก่อสร้างด้วยไม้ไผ่ทั้งหลังมีขนาดกระทัดรัดแต่แบ่งสัดส่วนการใช้งานได้อย่างลงตัว เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีเพียงเตียงนอนไม้ไผ่ขนาดเล็กหนึ่งเตียง โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกสองตัว ที่ผนังมีชั้นวางหนังสือกับหนังสืออยู่จำนวนหนึ่ง และที่มุมห้องด้านในสุดมีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่อาศัยภายในกระท่อมน้อยหลังนี้นั้นมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและใช้ชีวิตอย่างสมถะ
“ดื่มซะสิ มันช่วยให้ร่างกายอบอุ่น”
“…”
ฉันรับแก้วดินเผามาจากมือของชายชรา แล้วจึงค่อย ๆ จิบน้ำร้อน ๆ ในแก้วผ่านลำคอลงไปอย่างช้า ๆ
“ชาใบหม่อน มันช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและคลายหนาวได้”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยวาจาออกมาในที่สุดเพราะซาบซื้งในความเอื้ออาทรต่อคนแปลกหน้าของชายชรา
“แม่หนูมีเรื่องคับข้องใจอะไรรึ ถึงได้มานั่งตากฝนจนเนื้อตัวเปียกปอนแบบนี้ ไม่เกรงกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเอาเสียเลย”
“ฉันเหนื่อยนะลุง บางทีถ้าฟ้าผ่าฉันตายไปเลยก็คงจะดี ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว บางทีถ้าหากตายไปแล้วคงไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้ทุกข์ใจอีก”
ฉันเผลอระบายความในใจออกไปให้ชายชราแปลกหน้าฟังด้วยความอัดอั้นตันใจ มันคงรู้สึกดีไม่น้อยหากได้ระบายออกไปเสียบ้าง
“เธอคิดจริง ๆ หรือแม่หนู ว่าหากตายไปแล้วจะไม่ต้องทุกข์ เธอรู้จักโลกหลังความตายแล้วหรือว่าเป็นเช่นไร?”
“…”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอมีความทุกข์ใจเรื่องอันใด จึงได้คิดสั้น ๆ ง่าย ๆ เช่นนี้ แต่ความตายเพื่อหนีปัญหานั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาดอก เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ก่อนที่ความตายจะพรากเอาเวลาและชีวิตนี้ของเธอไปและเธอก็จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลังว่าไม่มีเวลาเหลือให้แก้ตัวได้อีกแล้ว”
“ฮึก” ในที่สุดฉันก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นเอาไว้ได้ หลังจากชายชราพูดจบฉันจึงได้แต่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความสิ้นหวังนั้นไหลออกมา
“ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ดีเหมือนกับคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง ฉันอยากเป็นเศรษฐี อยากเป็นคนรวยบ้าง ในทุก ๆ วันฉันทำงานหนักแต่ไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหนโชคก็ไม่เคยเข้าข้างฉันเลย ธุรกิจของฉันตกต่ำลงเรื่อย ๆ และตอนนี้บ้านของฉันก็กำลังจะถูกยึด ฉันกับครอบครัวจะไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้ว ฮือ ๆ ฮือ ๆ ฮือ ๆ”
ชายชราจ้องมองฉันด้วยแววตาเรียบนิ่งจากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า “เธอรู้ไหมว่า ชีวิตของคนเรานั้นก็เหมือนกับละครฉากใหญ่เรื่องหนึ่งที่มีตัวเราเองรับบทเป็นนักแสดงนำ เป็นผู้กำกับและเป็นคนเขียนบทอย่างไม่มีทางเลือก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราจะสร้างละครเรื่องนี้อย่างไรดี ก่อนอื่นเราต้องคิดดูก่อนว่าอยากใช้เวลาในชีวิตเพื่อเขียนเรื่องอะไร และอยากจะแสดงบทบาทเรื่องราวนั้นอย่างไร ถ้าเธออยากสร้างละครที่ดี เธอก็ต้องใช้เวลาทุกวินาทีในแต่ละวันอย่างจริงจัง ถ้าเธอมีความปรารถนาอันแรงกล้าและกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาด้วยใจที่เปิดกว้างอยู่เสมอ ในที่สุดแล้วเธอจะเริ่มมองเห็นเบาะแสและทางออกของปัญหาที่เคยมองข้ามไป แต่หากเธอขาดความพยามยามและอดทนแล้วชีวิตนั้นก็ไร้ความหมาย เพราะถึงเธอจะมีบทละครชั้นเยี่ยม เธอก็ยังต้องใช้ความพยายามและทุ่มเทจนสุดความสามารถเพื่อทำให้เรื่องราวในบทละครนั้นกลายเป็นจริง
ตลอดชีวิตของเธอ เธอเป็นคนเลือกเองว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาหรือจะพยายามหลีกหนีปัญหา ไม่ว่าเธอจะเลือกสิ่งใดก็ตาม ส่ิงที่เธอเลือกนั้นจะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเธอ”
หลังจากพูดจบชายชราก็จิบชาใบหม่อนในแก้วดินเผาอย่างแผ่วเบาด้วยท่าทีสงบ แต่คำพูดทุก ๆ ประโยคของชายชรากลับทำให้หัวใจของฉันสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ฉันรู้สึกเลื่อมใสในคำพูดและท่วงท่าที่สงบนิ่ง มั่นคง แต่ดูทรงพลังของชายชราคนนี้ยิ่งนัก
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ หลังจากที่ได้ฟังคำแนะนำของลุงแล้วตอนนี้ฉันสบายใจขึ้นมาก ตอนนี้ฝนข้างนอกก็ซาลงแล้วฉันคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อนเดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”
“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ
