
คุณเคยมีความคิดแบบนี้ไหม? ทำงานประจำจนเบื่อแล้วอยากลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแต่ก็ยังไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ทโซน หรือมีความฝันอยากเป็นเจ้าของโรงแรม–รีสอร์ทเล็ก ๆ สักแห่งแต่กังวลเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีจนไม่กล้าตัดสินใจลงทุน …
สำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของโรงแรม–รีสอร์ทเล็ก ๆ สักแห่งแต่ยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ ลองนั่งลงแล้วอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ดูนะคะ เผื่อว่าคุณจะได้แนวคิดประกอบการตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนต่อดีระหว่างเก็บตัวอยู่ในคอมฟอร์ทโซนหรือใส่เกียร์หนึ่งลงไปลุยธุรกิจเพื่อไล่ตามความฝัน
คลิกอ่านต่อ ที่นี่
ฉันได้รู้จักและมีโอกาสไปพักที่บ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์จากพี่ติ๊ด (คุณวนัญญา) ผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรเจ้าของโรงแรม–รีสอร์ทขนาดเล็ก รุ่นที่ 3 เธอเชิญฉันให้มาช่วยดูโครงการโรงแรม The Poem ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ สถานที่ก่อสร้างอยู่ในบริเวณหาดแหลมแม่พิมพ์ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
ตลอดชีวิตของฉันเคยเดินทางไปจังหวัดระยองเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น การเดินทางไประยองในตอนนั้นเป็นการไปดูงานที่บริษัทไออาร์พีซีในขณะที่เรียนปริญญาโทอยู่ซึ่งก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นระยองจึงเป็นจังหวัดที่ฉันแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย ในวันแรกที่ฉันเดินทางไปถึงพี่ติ๊ดจึงเป็นไกด์อาสาพาเที่ยวและเลือกที่พักเป็นแบบโฮมสเตย์อยู่ในชุมชนปากน้ำประแส เพื่อสัมผัสชีวิตแบบพื้นถิ่นเชิงอนุรักษ์ริมแม่น้ำดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอยุธยาและยังมีบ้านเรือนเก่าแก่ที่คงสภาพไว้ให้ได้คิดถึงร่องรอยในอดีตเมื่อครั้งวันวาน






ที่พักที่พี่ติ๊ดเลือกจองให้ฉัน มีชื่อว่า บ้านแสงมุกดา โฮมสเตย์ เป็นห้องที่สามารถพักได้จำนวน 5 คนแต่พี่ติ๊ดใจป้ำเหมาทั้งหมดให้ฉันพักแค่คนเดียว บ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์มีลักษณะเอาบ้านเก่าสองชั้นแบบโบราณมาปรับปรุงเป็นที่พัก เมื่อเห็นที่พักครั้งแรกฉันก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะรูปลักษณ์ก็เหมือนบ้านแบบโฮมสเตย์ทั่วไปแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี พอได้เดินเข้าไปด้านในถึงได้รู้ว่าบ้านหลังนี้มีความยาวและลึกมาก แต่พอเดินไปจนสุดตัวบ้านเห็นระเบียงอยู่ด้านหลังต้องถึงกับร้อง ว๊าว!!! เลยที่เดียว เพราะระเบียงหลังบ้านที่ยื่นออกไปนั้นอยู่ติดกับริมแม่น้ำประแส มองเห็นเรือประมงขนาดใหญ่จอดเทียบท่าอยู่เรียงรายเต็มไปหมด ชาวบ้านบางคนก็เอาเรือขนาดเล็กออกหาปลาอยู่กลางแม่น้ำ และที่สวยที่สุดคือภาพของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เคลื่อนตกลงในตอนค่ำ รัศมีทอแสงส่องประกายทำให้ท้องน้ำและท้องฟ้ามีสีสันสวยงามจนติดตาตรึงใจไม่รู้ลืม
ฉันกับพี่ติ๊ดเดินสำรวจที่พักจนทั่วก็ไม่เจอกับเจ้าของบ้านเลย เราถ่ายรูปขณะพระอาทิตย์ตกจนหนำใจแล้วจึงออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านที่คาดว่าจะมีตลาดชุมชน แต่ปรากฎว่าผิดคาดร้านรวงปิดกันหมดมีเพียงร้านอาหาร 2-3 แห่งที่เปิดให้บริการบ้าง บนถนนคนเดินแทบจะไม่มีใครเดินเลย นาน ๆ มีรถมอเตอร์ไซค์ของคนในชุมชนวิ่งเข้าออกบ้าง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid- 19 จึงทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเลยแต่ก็ยังพอมีนักท่องเที่ยวคนไทยอยู่บ้างแบบหรอมแหรม ทำให้เราได้เก็บมุมสวย ๆ ถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ โฮมสเตย์บางแห่งก็มีแขกเข้าพักบ้างซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจมาก ว่าโฮมสเตย์แต่ละหลังไม่มีเจ้าของบ้านออกมาคอยให้บริการเลย ปล่อยแขกให้เข้าอยู่ได้ตามอัธยาศัยซึ่งก็ทำให้ได้มุมมองอีกแบบว่า คนที่จะเข้าพักโฮมสเตย์ต้องเป็นคนที่มีวินัยและมีมารยาทในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมเป็นอย่างดี ไม่หยิบฉวยข้าวของของคนอื่นและมีความเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมบ้าน
หลังจากเดินถ่ายรูปและรับประทานอาหารจนเรียบร้อยแล้วพี่ติ๊ดก็มาส่งฉันที่โฮมสเตย์และขอตัวกลับปล่อยให้ฉันได้มีเวลาส่วนตัวและพักผ่อนเต็มที่ ฉันจึงเข้าห้องพักจัดการอาบน้ำสระผมจนเรียบร้อยเพื่อให้สบายตัวเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ภายในห้องพักก็ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบเรียบง่าย มีอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นจัดวางไว้ให้อย่างครบถ้วนเป็นระเบียบ ขณะกำลังแต่งตัวอยู่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียกเบา ๆ เมื่อฉันขานรับก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสูงวัยถามว่า “ในห้องมีน้ำดื่มหรือเปล่า?” เมื่อฉันร้องตอบว่า “มีค่ะ” แล้วเสียงนั้นจึงเงียบไป พอได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมากจึงคิดว่าจะนั่งทำงานต่อสักหน่อย จึงเปิดประตูออกไปเดินหาป้ายบอกรหัส wi-fi เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแต่หาไม่เจอ คิดว่าก็ไม่เป็นไรเดี่ยวเข้าห้องไปต่อฮอตสปอตจากมือถือเอาก็ได้ สักพักก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกพร้อมกับเสียงพูดของหญิงสูงวัยคนเดิมถามขึ้นว่า “ต้องการอะไรเพิ่มไหมค่ะ?” เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทฉันจึงเปิดประตูห้องออกไปคุยกับแกว่าต้องการรหัส wi-fi แกพาฉันเดินไปตามระเบียงทางเดินสู่บริเวณด้านหลังบ้านที่ดูพระอาทิตย์ตก แล้วหยุดชี้ที่กระดาษ A4 แผ่นหนึ่งที่อยู่ติดผนังทางเดินเพื่อบอกให้ดูรหัส wi-fi ในตอนแรกฉันถึงกับงงว่าทำไมป้าไม่บอกฉันมาเลยแค่ตัวเลขจำง่าย ๆ “sm123456” แต่ในที่สุดก็ถึงบางอ้อ เมื่อรู้ว่าแกแค่อยากหาเรื่องชวนคุย สุดท้ายฉันจึงไม่ได้ทำงานเพราะอยากฟังเรื่องที่แกต้องการเล่า
บ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์ มีเจ้าของและคนดูแลสองคนคือคุณป้านรา หญิงสูงวัยที่ฉันได้เจอเป็นคนแรก แกเป็นหญิงห้าวและแกร่ง อายุย่างเข้า 73 ปีแล้ว ส่วนอีกคนคือคุณป้าศรีวรรณ มุกดาสนิท อายุ 75 ปี เป็นหญิงชราร่างเล็กแต่คล่องแคล่ว เธอวิ่งดูแลความเรียบร้อยและเอ็นเตอร์เทนแขกที่เข้าพักคืนวันนั้นอย่างกระตือรือร้อน เมื่อได้มีโอกาสนั่งคุยกับป้านราจึงได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาของโฮมสเตย์แห่งนี้และได้รู้ว่าคุณป้านราและคุณป้าศรีวรรณเป็นญาติของคุณตั้ม MAMAFAKA (คุณพฤษ์พล มุกดาสนิท) กราฟฟิกดีไซน์เนอร์ชื่อดังของประเทศไทย ผู้ล่วงลับจากอุบัติเหตุจมน้ำทะเลที่จังหวัดภูเก็ต ภายในบ้านยังมีรูปวาดตัวการ์ตูน MR.HELLYEAH! ประดับอยู่ภายในบ้านด้วย


ป้านราเล่าให้ฟังว่า ชื่อบ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์นี้มาจากนามสกุลนั่นเอง เมื่อก่อนคุณพ่อของป้าศรีวรรณเปิดโรงแรมขึ้นเป็นแห่งแรกของที่นี่ เพราะในอดีตเมื่อก่อนนี้ประแสเป็นเมืองท่าที่สำคัญจึงดึงดูดให้ชาวจีนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่เพื่อทำการค้า และอาชีพหลักของคนในพื้นที่นี้คืออาชีพประมง พวกผู้ชายพอเรียนจบชั้น ป.4 แล้วก็ต้องออกไปลงเรือหาปลา จนในช่วงปี พ.ศ. 2549 ชุมชนประแสแห่งนี้ก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์และมีที่พักแบบโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างแรมเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนได้ ซึ่งโฮมสเตย์แห่งนี้ก็ได้มีการรับรองมาตรฐานโฮมสเตย์ไทยจากสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในระหว่างที่ฉันนั่งคุยอยู่กับคุณป้านราอยู่นั้น ก็มีรถทัวร์คันใหญ่พานักท่องเที่ยวกลุ่มข้าราชการที่มาดูงานในจังหวัดระยองเข้ามาพักที่นี่ ทำให้คุณป้าศรีวรรณรีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับลูกค้าและพาเข้าห้องพักจนเรียบร้อย ป้านราเล่าว่าป้าศรีวรรณเมื่อก่อนตอนสมัยสาว ๆ เป็นคนสวยมากและเป็นช่างตัดเสื้อด้วย ชาวปากน้ำประแสจะมีประเพณีทอดผ้าป่ากลางน้ำ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี เมื่อถึงวันนี้ชาวประแสจะหยุดพักจากการทำงานประจำเพื่อเตรียมประกอบพิธีกรรมและจัดการละเล่นต่าง ๆ มีการตกแต่งเรือและเครื่องแต่งกายเพื่อการละเล่นในเรือแต่ละลำอย่างสวยงาม คุณป้าศรีวรรณซึ่งเป็นช่างตัดเสื้อคนสวยก็จะตัดเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่เต้นอยู่บนหัวเรือและได้รางวัลชนะเลิศการประกวดเครื่องแต่งกายสวยงามอยู่บนเรือด้วย
ส่วนตัวป้านรานั้นเป็นสาวห้าว จึงชอบถ่ายรูปและจัดงานกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของชุมชน คุณป้าทั้งสองทำที่พักโฮมสเตย์แห่งนี้ด้วยใจรักจริง ๆ คุณป้าจะพูดคุยกับแขกอย่างเป็นกันเอง ดูแลอำนวยความสะดวกให้แขกอย่างกระตือรือร้น เพราะคุณป้าเชื่อว่ามันคือเสน่ห์ของที่นี่และมันก็ได้ผลดีซะด้วย เพราะมันได้สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดและทำให้แขกอยากกลับมาพักที่นี่อีกครั้งถึงแม้ไม่ได้มาเองก็ยังอยากแนะนำบอกต่อให้กับคนใกล้ชิดได้มาลองใช้บริการโฮมสเตย์ของคุณป้าท้ังสอง
บ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์ มีห้องพักทั้งหมด 6 ห้อง รับแขกได้จำนวน 32 คน ค่าบริการคนละ 500 บาท มีอาหารเช้าเป็นข้าวต้มทะเลและเครื่องดื่มกาแฟ โอวัลตินไว้คอยบริการ หากมีแขกท่านไหนที่อยากออกไปท่องเที่ยวดูวิถีชุมชนในตอนเช้าอย่างถึงแก่น คุณป้านราก็จะมีมอเตอร์ไซค์ซาเล้งพาขับไปเที่ยวด้วยค่ะ ส่วนคุณป้าศรีวรรณจะเป็นคนดูแลเรื่องอาหารเช้าเพราะเป็นคนทำอาหารเก่ง หากวันไหนที่มีลูกค้าเยอะทำไม่ทันก็จะจ้าง outsource เข้ามาช่วย ฉันถามป้าทั้งสองว่าเหนื่อยมั๊ย? เพราะอายุก็เยอะกันทั้งคู่แล้ว แกบอกว่าไม่เหนื่อยเลย สนุกมาก อยากให้มีลูกค้ามาพักเยอะ ๆ ทุกวัน ถ้ามีอะไรให้คิดและทำเยอะ ๆ จะได้ไม่เบื่อ แล้วป้าก็บ่นว่าตัวเองเรียนมาน้อยจบแค่ ป.4 จึงเล่น Facebook และโซเชียลไม่เป็นเลย อย่างเก่งก็แค่สื่อสารด้วยแอพพลิเคชั่น Line ได้เท่านั้นจึงทำให้เสียโอกาสในการหาลูกค้าทางออนไลน์ มีคนเข้ามาติดต่อทำตลาดออนไลน์ให้แต่หักค่าหัวคิวเยอะจนป้าไม่อยากทำ คืนนั้นฉันนั่งคุยกับป้านราจนถึงเวลาห้าทุ่มครึ่ง ป้าจึงบอกให้ฉันไปพักผ่อนส่วนแกจะต้องไปดูแลความเรียบร้อยของแขกห้องอื่นต่อ



เช้าของวันรุ่งขึ้น ข้าวต้มทะเลกับน้ำซุปหอม ๆ ก็พร้อมเสิร์ฟตอนเจ็ดโมงเช้า รสชาติของน้ำซุปเป็นรสกลาง ๆ แต่กุ้งและปลาหมึกสดมาก กินคู่กับกาแฟร้อนและปลาท่องโก๋ตัวโตก็อิ่มสบายท้องพร้อมออกเดินทางต่อ ก่อนกลับคุณป้าทั้งสองก็มานั่งเล่าเรื่องอดีตที่สวยงามของประแสให้ฉันฟังอีกครั้ง และยังใจดีให้หนังสือ “ปากน้ำประแส” มาศึกษาประวัติศาสตร์ของประแสเพิ่มเติมอีกด้วยค่ะ ขอบคุณ “บ้านแสงมุกดา โฮมสเตย์” ที่พักแสนอบอุ่น และคุณป้านรากับคุณป้าศรีวรรณ มุกดาสนิท ที่ร่วมแบ่งปันเรื่องราวอดีตที่สวยงามของชุมชนประแสให้ฟังด้วยค่ะ มาพักที่นี่ประทับใจมาก ๆ


หากคุณอดทนอ่านมาจนถึงตรงนี้ ก็หวังว่าคุณคงจะได้ข้อคิดดี ๆ จากบ้านแสงมุกดาโฮมสเตย์บ้างนะคะ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ถ้าหัวใจมันยังสู้ ดูจากคุณป้าทั้งสองท่านเป็นตัวอย่าง ท่านอายุเจ็ดสิบกว่ากันแล้ว การศึกษาจบแค่เพียงชั้น ป.4 ทายาทก็ไม่มีใครมารับช่วงต่อ แต่ท่านไม่ยอมให้อายุและการศึกษามาทำลายความฝันของท่านได้ ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจนี้ต่อไปด้วยความรักและความสุข แล้วคุณล่ะคะมีหัวใจของนักสู้เหมือนคุณป้าทั้งสองท่านนี้หรือเปล่า?








“เราเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้ คือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ขอให้ทุกท่านจงสร้างธุรกิจโรงแรมที่ดี มีคุณภาพเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยของเรา
หากคุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อด้วยนะคะ
มาร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับหลักสูตร เจ้าของโรงแรม-รีสอร์ทขนาดเล็ก ใคร ๆ ก็เป็นได้
คอร์สอบรมที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมได้ ภายใน 2 วัน
หนังสือที่คนอยากทำธุรกิจโรงแรมต้องอ่าน!!!
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
มาเป็นเพื่อนกับเราทางไลน์!!!
ถ้าไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ
