เมี่ยงคำ

ขอบคุณภาพประกอบจาก คุณสุทิน สร้อยมะโน

 

เช้าตรู่ของวันใหม่ท้องฟ้าช่างแตกต่างจากวันวานคล้ายงานฉลองรื่นเริงได้จบลงแล้วเหลือไว้แต่เพียงท้องฟ้าสีเทาที่ดูเงียบเหงาอ้างว้างแต่งแต้มไปด้วยเมฆแผ่นบางๆที่ลอยลงต่ำปกคลุมไปทั่วผืนดินจนมองอะไรแทบไม่เห็นเลย แม้แต่แสงทองจากพระอาทิตย์ยามเช้ายังไม่สามารถส่องผ่านทะลวงเข้ามาได้

หลังจากได้รับประสบการณ์ล้มทั้งยืนจนก้นระบมไปหลายสิบครั้งเมื่อวาน ทำให้ฉันยืนได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นมากในวันนี้ ฉันยืนเกาะลูกกรงไม้ฉำฉาอยู่บนเถียงนาหลังเดิมใช้สายตาทอดมองไปทุกทิศเพื่อจะดื่มด่ำกับทุกสิ่งที่ฉันได้พานพบแต่อนิจจาวันนี้ท้องฟ้าไม่เป็นใจ ทุกๆที่ที่ฉันมองออกไปเห็นแต่เมฆหมอกลอยปกคลุมไปทั่วคล้ายผืนดินภูเขาและต้นไม้ถูกเคลือบไปด้วยแผ่นฟิล์มบางๆที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติ ฉันมองไปยังท้องทุ่งนาที่เมื่อวานยังเป็นสีทองจากรวงข้าวเหลืองอร่ามแต่วันนี้มันถูกเกี่ยวจนหมดเหลือไว้แต่เพียงซังข้าวที่ไร้ค่าและหมดประโยชน์

ในความสลัวของท้องนาที่ถูกปกคลุมด้วยแผ่นฟิล์มจากละอองหมอกนั้น มีเงาตะคุ่มอยู่หกจุดกำลังเคลื่อนไหว เมื่อฉันปรับสายตาให้ชินกับความสลัวเลือนรางของหมอกในยามเช้านี้ได้แล้วจึงเห็นว่าเงาตะคุ่มนั้นคือกลุ่มชาวนาที่กำลังช่วยกันใช้ไม้ตอกมัดข้าวที่เกี่ยวเสร็จแล้วจากเมื่อวาน พวกเขาทุกคนมีผ้าขาวม้ามัดคาดไว้ที่พุงด้านหลังผ้าข้าวม้านั้นเหน็บไม้ตอกสำหรับมัดข้าวเอาไว้ ฉันเริ่มสงสัยแล้วสิว่าชาวนาเคยมีโอกาสแหงนเงยดูความสวยงามบนท้องฟ้าบ้างไหม เขาจะสังเกตเห็นไหมเวลาพลบค่ำพระอาทิตย์ใกล้อัสดงฝูงนกพากันบินกลับรังเป็นหมวดหมู่มันเป็นภาพที่สวยงามจนไม่มีคำบรรยายใดๆจะเปรียบเปรยนอกจากต้องเห็นด้วยตาตัวเอง

ขณะปฏิบัติหน้าที่กระดูกสันหลังของชาตินั้น ชาวนาต้องก้มหน้าลงเพื่อเก็บเกี่ยวต้นข้าวทุกต้นบนท้องทุ่งนาและหลังจากนั้นก็ยังคงก้มหน้าต่อเพื่อใช้ไม้ตอกที่เหลาจากไผ่มัดต้นข้าวที่เกี่ยวเสร็จเตรียมขนย้ายสู่ขั้นตอนถัดไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆสำหรับข้าวทุกเมล็ดที่เรากินแลกกับหยาดเหงื่อแรงงานของชาวนาทุกคนที่ทุ่มเทเพื่อปากท้องของชาติ ใช้หลังสู้ฟ้าและก้มหน้าสู้ดินเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวทุกเมล็ดด้วยความรักด้วยความใส่ใจ ฉันไม่เคยได้ยินพวกเขาบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้งมีเพียงแววตาเปล่งประกายเท่านั้นที่สื่อสารออกมาให้รับรู้ว่าพวกเขาภาคภูมิใจอาชีพของตนเพียงใด

ใกล้ๆกับเถียงนาเป็นลานกว้างล้อมรอบไปด้วยต้นฉำฉาใหญ่และต้นมะขามขนาดใหญ่ยักษ์สองต้นอายุมากกว่าร้อยปีขึ้นอยู่บนจอมปลวกตั้งตระง่านเหมือนร่มขนาดใหญ่ที่ช่วยบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ในวันที่แดดร้อนจัดและเป็นกำแพงยักษ์ป้องกันพายุร้ายในวันที่ฝนตกหนัก  ชาวนาส่วนที่เหลืออีกกลุ่มหนึ่งกำลังขะมักเขม้นช่วยกันปรับพื้นที่ลานกว้างนั้นให้เรียบเตียนที่สุด บางคนก็ใช้เสียมขุดรากถอนโคนต้นไม้ขนาดเล็กที่ขึ้นอยู่บริเวณนั้นแล้วดึงออกไปทิ้งบางคนก็ใช้แวกแซะกอหญ้าออกมาจากพื้นดินแต่บางคนก็กำลังใช้ ‘ไม้กวาดขัดมอญ’ ปัดกวาดลานดินในบริเวณนั้นให้โล่งเตียนมากที่สุด ไม้กวาดขัดมอญทำจากต้นหญ้าขัดมอญที่มีอยู่ดาษดื่นเป็นพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ต้องไปรดน้ำพรวนดินให้เมื่อย บางคนที่มองไม่เห็นคุณค่าก็คิดว่ามันเป็นวัชพืชที่ต้องกำจัด หญ้าขัดมอญเป็นไม้พุ่มเตี้ยแตกกิ่งก้านหนาแน่น ใบเล็กเรียวเขียวเข้ม ยิ่งเวลาออกดอก สีเหลืองอ่อนหวานพราวพรายรายเรียงอยู่ทั่วทุกช่อใบชวนมองไม่น้อยแถมมีประโยชน์ในครัวเรือนหลายอย่าง ทั้งด้านการใช้สอยและสรรพคุณทางสมุนไพร

ฉันเห็นปู่ถือคุสังกะสีบุบบี้เก่าๆสองใบเดินออกมาจากคอกวัวที่อยู่ด้านหลังเถียงนาในคุถังเต็มไปด้วยขี้วัวกองจนพูนแทบล้นทะลักออกมา ฉันมองตามด้วยความสงสัยว่าปู่เอาขี้วัวมากมายพวกนั้นมาทำอะไร จากนั้นฉันเห็นปู่เทขี้วัวลงในกระบะไม้ขนาดประมาณเมตรครึ่งที่เตรียมไว้ข้างๆลานดินนั้นแล้วเดินกลับไปขนขี้วัวที่คอกมาเติมใส่อีก ปู่เดินกลับไปกลับมาอยู่สามสี่เที่ยวจนได้กองขี้วัวขนาดหย่อม

ขณะเดียวกันก็เห็นพ่อใช้ไม้คานหาบน้ำจากคุสังกะสีใบเก่าแต่สภาพดีกว่าที่ปู่ใช้ขนขี้วัวขึ้นมาจากสระน้ำใกล้ๆ แล้วนำมาเทใส่ลงไปในกองขี้วัวที่ปู่เตรียมไว้ จากนั้นพ่อก็ถอดรองเท้าแล้วเดินตรงเข้าไปในกองขี้วัวนั่นพร้อมกับย่ำเท้าซ้ำไปซ้ำมาเพื่อจะให้น้ำกับขี้วัวเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุด ปู่วางคุที่ขนขี้วัวเสร็จแล้วก็เดินมาย่ำเท้าบนกองขี้วัวช่วยพ่ออีกคน ย่ำไปย่ำมาสักพักขี้วัวสดผสมกับน้ำในสระก็รวมตัวกันจนคล้ายเป็นของเหลวสีเขียว ของเหลวนั้นคงได้ที่พอเหมาะสำหรับปู่แล้วปู่จึงบอกให้พ่อหยุดแล้วเดินไปเอาคุถังสังกะสีบุบบี้ที่ใช้ขนขี้วันในตอนแรกมาแบ่งกับพ่อคนละถัง จากนั้นปู่กับพ่อก็ใช้คุในมือตักของเหลวสีเขียวที่ได้จากขี้วัวผสมน้ำไปเทลงบนลานดินที่เตรียมไว้แล้วใช้ด้ามเสียมเกลี่ยกลิ้งให้ขี้วัวเหลวนี้เคลือบฉาบผืนดินแผ่ออกไปเป็นวงกว้างขนาดประมาณครึ่งสนามฟุตบอล

พวกเขาทั้งหมดทำงานของตัวเองพลางหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็นำเรื่องตลกมาเล่าพอเล่าเสร็จก็เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน บางครั้งก็มีเสียงร้องเพลงออกมาเป็นระยะ แต่ร้องไม่เคยจบเนื้อร้องมีเพียงแค่ท่อนสร้อยเท่านั้น เพียงเท่านี้บรรยากาศการทำงานในวันที่อากาศหนาวเหน็บก็กรุ่นไปด้วยกลิ่นไอแห่งความสุขและสนุกสนาน

เมี่ยงคำ
.