เมี่ยงคำ
ขอบคุณภาพประกอบจาก คุณสุทิน สร้อยมะโน

 

 

ท้องฟ้าในฤดูหนาววันนี้เป็นสีครามสว่างสดใส เหมือนกำลังยิ้มต้อนรับให้กับความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตฉัน ผ่านมาจะครบปีแล้วที่ฉันเริ่มต้นใช้ชีวิตบนโลกที่ฉันยังไม่รู้จักใบนี้ พอกันทีกับวิถีชีวิตแบบนั่งกินนอนกินถึงเวลาที่ฉันต้องตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว วันนี้ฉันจึงตัดสินใจที่จะ “ยืน” เป็นครั้งแรกให้ได้และแน่นอนฉันทำมันได้สำเร็จ ใช่แล้ว! วันนี้ฉันยืน ‘ตั้งไข่’ ด้วยตัวเองได้เป็นครั้งแรก

 

ฉันถูกจัดให้นั่งอยู่บนผ้านวมสีเขียวมีลวดลายดอกไม้หลากสีสันอยู่เต็มไปหมดทั้งผืนพร้อมกับกองเศษผ้าเก่าๆที่ประกอบไปด้วยผ้าขนหนูแบบเช็ดตัวสีน้ำตาลซีดมีขนหลุดลุ่ยหนึ่งผืน ผ้าอ้อมสีขาวที่มีสีเหลืองเข้มแต้มเป็นดวงๆอีกสองผืน กางเกงและเสื้อเด็กที่สีไปคนละทางกันหนึ่งชุด กางเกงขายาวสีแดงตัวเล็กจิ๋วที่เปียกชุ่มเพราะโดนฉี่ใส่แล้วอีกหนึ่งตัวกองย่นๆอยู่ที่ริมผ้าห่มอีกด้าน

 

ที่นี่เป็นเถียงนาเก่ามีเสาทำด้วยลำต้นของไม้เนื้อแข็งอายุไม่น่าต่ำกว่าร้อยปีแต่ดูแล้วยังแข็งแรงรับน้ำหนักได้ดี ส่วนผนังและพื้นทำด้วย ‘ฟาก’เป็นการนำไม้ไผ่ทั้งลำมาสับพอให้ไม้ไผ่แตกแล้วผ่าเป็นแผ่นจากนั้นเลาะเอาตาไม้ไผ่ออก หลังคามุงด้วยหญ้าคา มีราวระเบียงและลูกกรงยื่นออกมา ฉันสันนิษฐานเอาเองว่าไม้ที่นำมาทำลูกกรงน่าจะได้จากกิ่งก้านของต้นฉำฉาเพราะเนื้อไม้ดูเปราะบางและน้ำหนักเบามาก ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างเถียงนาหลังนี้แต่ดูจากสภาพแล้วมันคงจะถูกสร้างมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีเพราะสภาพฟากที่เก่าจนผุไปบางส่วนและขื่อหลังคาที่มีใยแมงมุมเกาะเป็นหย่อมๆก็ถูกเขม่าควันไฟจับจนเป็นสีดำ

 

มุมหนึ่งของเถียงนาถูกจัดเป็นห้องครัวและมีเตาไฟก้อนเส้าสำหรับหุงต้ม เตาก้อนเส้าเป็นการนำก้อนหินที่มีขนาดใกล้เคียงกันสามก้อนมาวางเป็นสามเส้า หินทั้งสามก้อนจะถูกวางอยู่บนแม่เตาไฟเพื่อกันไฟไหม้พื้น แม่เตาไฟนั้นทำมาจากกรอบไม้สีเหลี่ยมสูงจากพื้นเจ็ดถึงแปดนิ้วข้างในมีกรอบอัดดินเพื่อกันความร้อนไม่ให้ถึงพื้น เชื่อกันว่าแม่เตาไฟของทุกบ้านจะมีผีผู้หญิงสถิตอยู่เพื่อคอยปกป้องดูแลให้การหุงหาอาหารเป็นไปด้วยความปกติสุขและราบรื่น ถ้ากราบไหว้ก่อนนอนลูกเล็กเด็กแดงจะไม่ฉี่รดที่นอน (อืม…แม่คงยุ่งมากจนไม่มีเวลากราบท่านแน่ๆเลย)

“ก้อนเส้าแก้วสามหน่วยเฮียงกัน แลง งาย หุงแกงต้มสู่ เจ้าอย่าจ่มอย่าฮ้อน ให้เย็นเรื่อยอยู่ สู่ยาม”

(คาถาบูชาเตาไฟ)

 

แม่ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันสำหรับพ่อ ปู่และคนงานลาวอีกสิบชีวิตที่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ในนาและบางครั้งก็เงยหน้ามาดูฉันบ้างสลับกันไปกับการทำครัว

แม้วันนี้ท้องฟ้าจะสว่างสดใสแต่ลมหนาวก็พัดแรงจนกิ่งไม้และใบไม้จากต้นไม้ทุกต้นโบกสะบัดสั่นไหวอย่างแรงพร้อมกับเสียงหวีดหวิวฟังดูน่ากลัว น้ำค้างที่เกาะอยู่บนยอดหญ้าจับตัวแข็งเป็นเกล็ดส่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบแสงจากดวงอาทิตย์ ฉันถูกจับยัดเข้าไปในเสื้อและกางเกงขายาวถึงสองชั้นสวมทับด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมสีเขียวที่แม่ถักเองมองดูเหมือนตุ๊กตาล้มลุกตัวอ้วนๆที่ถูกพันด้วยผ้าแพรศาลพระภูมิ ความหนาวเย็นและเสื้อผ้าที่ห่อตัวหลายชั้นทำให้ฉันขยับตัวอย่างยากลำบาก แต่ด้วยความพยายามอย่างสุดชีวิตและปณิธานแรงกล้าที่จะเลิกเป็นคนนั่งกินนอนกิน ฉันจึงตัดสินใจว่าจะ ‘ยืน’ ให้ได้ภายในวันนี้ ฉันนั่งโยกตัวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับใช้มือน้อย ๆ ไขว่คว้าไปที่ลูกกรงอย่างสะเปะสะปะจนสามารถใช้มือสอดเกี่ยวเข้ากับลูกกรงได้จากนั้นก็ค่อยๆดันตัวให้ยืดสูงขึ้นโดยทิ้งน้ำหนักไปที่มือทั้งสอง

ตุ๊บ!! ฉันล้มลงหงายท้องก้นกระแทกไปบนผืนผ้านวม พลันสายตาหันไปเห็นแม่มองมาที่ฉันพอดีคงเพราะเสียงล้มของฉันไปกระทบประสาทหูของแม่เข้า แต่เมื่อไม่มีเสียงร้องไห้ออกมาจากปากของฉันแม่จึงไม่ได้เดินมาดูและก้มหน้าก้มตาเร่งมือทำกับข้าวต่อไป ฉันตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งอีกครั้งพร้อมกับบอกตัวเองในใจว่า เอาน่า! ค่อยๆตั้งสติแล้วลองใหม่อีกที

หลังจากความพยายามผ่านไปครั้งที่เท่าไหร่ฉันเองก็ไม่รู้ ในที่สุด…ฉันก็ทำมันได้สำเร็จ ตอนนี้ฉันสามารถยืนหยัดด้วยขาเล็ก ๆ  สองข้างของตัวเองได้แล้ว ฉันใช้มือน้อยๆของฉันยึดเกาะลูกกรงไม้ฉำฉาเก่าๆอย่างยึดมั่นเพื่อไม่ให้พลาดท่าล้มหงายท้องลงไปอีก เมื่อผ่านสถานการณ์ล้มแล้วลุกหลายครั้งฉันก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าฉันเพียงแค่ทรงตัวลุกขึ้นแล้วถ่ายน้ำหนักไปที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้างให้เท่ากันเท่านี้ฉันก็จะยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว และเมื่อฉันรู้วิธียืนที่ถูกต้องฉันก็ไม่ต้องล้มหงายท้องให้เจ็บก้นอีก ฉันไม่อยากพลาดโอกาสยืนมองท้องฟ้าสีครามสดใสแต่งแต้มด้วยก้อนเมฆสีขาวคล้ายฝูงแกะนับร้อยตัวเกาะเกี่ยวกันลอยเป็นแพอยู่บนฟ้า แต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเมื่อลดระดับสายตาให้ต่ำลงมา ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือท้องทุ่งสีทองอร่ามสุดลูกหูลูกตาล้อมรอบไปด้วยภูเขาสีเขียวมรกตสูงต่ำสลับกัน มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ

ท้องทุ่งสีทองเหลืองอร่ามนั้นคือรวงข้าวสีทองที่เปล่งประกายเรืองรองอวดเมล็ดข้าวที่สมบูรณ์เต็มที่เชื้อเชิญให้ชาวนามาเก็บเกี่ยว เมื่อสายตาคู่น้อยของฉันจ้องมองไปที่แปลงนาปรากฏจุดเล็กๆหลายจุดกำลังเคลื่อนไหวอยู่กลางทุ่งข้าวเหลืองอร่ามนั้นเมื่อปรับสายตาเพ่งมองอีกทีจึงเห็นว่าเป็นกลุ่มชาวนาที่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่นั่นเอง พวกเขายืนโก้งโค้งเรียงแถวหน้ากระดานถือเคียวอยู่ในมือขวาแล้วสอดเข้าไปในต้นข้าวอย่างชำนาญและรู้จังหวะ เมื่อชักเคียวขึ้นมาก็มีต้นข้าวที่ถูกเกี่ยวจำนวนหนึ่งวางพักอยู่บนแขนซ้าย ข้าวที่ถูกเกี่ยวแล้วจะนำมาวางไว้บนซังข้าวเพื่อรอมัดด้วยไม้ตอกในขั้นตอนต่อไป พวกเขาทำแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกเดินหน้ามาเรื่อยๆเพื่อเกี่ยวข้าวทุกต้นจนครบแปลงนาทุกแปลง ฉันมองการเคลื่อนไหวนั้นด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินคล้ายดูวงออร์เคสตร้าที่ถูกกำกับด้วยวาทยกรฝีมือล้ำเลิศ

คนงานจากลาวจำนวนสิบคนเดินแถวตอนเรียงหนึ่งมุ่งตรงมาที่เถียงนา มีญาติมาเกี่ยวข้าว ‘เอาแฮง’ อีกสองคนเดินเคียงคู่ตามพวกเขามา ส่วนพ่อกับปู่เดินตามหลังมาอยู่ห่างๆ ทุกคนสวมเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆมีผ้าขาวม้าคาดหัวป้องกันความร้อนจากแดดมีบางคนก็สวมงอบทับลงไปอีกที ใบหน้าแต่ละคนดำคล้ำมีเหงื่อไหลนอง เสื้อผ้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อผสมกับน้ำค้างบนต้นข้าวแต่น่าแปลกที่ไม่มีใครแสดงอาการเหนื่อยล้าเลยสักคน

ถึงเวลาพัก ‘กินข้าวสวย’ แล้วทุกคนจึงขึ้นมารวมตัวกันล้อมวงกินข้าวจาก ‘พาเข้า’ ที่แม่เตรียมไว้ ฉันชะเง้อคอมองถ้วยจานสังกะสีพวกนั้นด้วยความสงสัยอยากรู้ว่ามีอาหารแบบไหนอยู่ในนั้น มันจะเป็นกล้วยบดผสมกับข้าวต้มเละๆแบบที่ฉันกินทุกวันหรือเปล่า

อ๊ะ! ไม่ใช่แฮะ อาหารที่แม่ทำเป็นเมนูลาบเนื้อวัวดิบและต้มแซบกระดูกที่ร่อนเอาเนื้อมาทำลาบจนหมดแล้วพร้อมกับจาน ‘ผักกับลาบ’ ซึ่งต้องเป็นผักมีกลิ่นฉุนเพื่อดับกลิ่นคาว ได้แก่  ผักกาดขิ่ว ผักคาวตอง ยอดมะกอก แตงกวาและพริกขี้หนูสด ฉันเห็นพวกคนงานลาวกินอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมๆกับพูดจาหยอกล้อกันไปด้วยอย่างสนุกสนาน

พอกินเสร็จแต่ละคนก็แยกย้ายกันลงไปนอนพักตามใต้ร่มไม้ ส่วนแม่ก็เก็บสำรับและจานชามไปล้าง มีคนหันมามองและทำท่าทางแปลกๆใส่ฉันเป็นระยะ แต่ไม่มีใครให้ความสนใจกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของฉันมากไปกว่าเรื่องของพวกเขาเอง ฉันคิดว่าการยืนนิ่งๆและเฝ้ามองอย่างเงียบๆจะเป็นการดีกว่าไปรบกวนขัดขวางการพักผ่อนนอนเอาแรงเพื่อลุกขึ้นมาสู้กับภารกิจรอบบ่ายที่ยังรออยู่ของพวกชาวนากลุ่มนี้

เมี่ยงคำ
.