
“ขอให้เจ้าตื่นเดิก ไปไฮ่ก่อนกา ขอให้เจ้าตื่นเดิก ไปนาก่อนไก่
ให้เจ้าไปจับฮั้ว อ้อมบ่อนควายเลียม บ่าแบกเสียม ทั้งไปยามส้อน
เลยเบิ่งต้น เบิ่งหลี่เบิ่งไซ เห็นน้ำไหลคันนา คึดหาเครื่องปลูก
ทั้งส้มสูกกล้วยอ้อย ของเจ้าซู่ยาม ตามดอนนาปลูกพริก หมากเขือน้ำเต้า
ทั้งหมากพร้าว มี้ม่วงตาวตาล ส้มและหวาน หมากพลูอย่าคร้าน
คันเจ้าอยู่บ้านให้เบิ่งเฮือนซาน เบิ่งสถาน ปักตูป่องเอี้ยม
ให้เข้าเยี่ยมเบิ่งข้อง แหมองทั้งสุ่ม ของซุมหมู่นี้ แพงไว้เฮ็ดกิน
ฝนตกรินฮำย้อย อย่าถอยกลัวขยาด เถิงซิตกสาดฟัง ฮองเข้าใส่โอ่งไห
คราดไถแอกให้ หลาไนมีทุกสิ่ง ทั้งสวิงกำพั้น ฟืมพร้อมใส่กระสวย
ของหมู่นี้ซิซ่อยให้ มีอยู่มีกิน ให้เจ้ายินดีหา อย่าไลลาคร้าน”
(จากหนังงสือ “ฮีตสิบสองคลองสิบสี่ ประเพณีของดีอีสาน”)
วันหนึ่งของฤดูหนาวเดือนธันวาคมที่หนาวจับขั้วหัวใจผู้คนที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูงของประเทศไทย ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวชายแดนไทย-ลาวของจังหวัดที่มีคำขวัญว่า”เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม” เด็กทารกเพศหญิงผิวขาวราวกับแม่คะนิ้งที่เกาะอยู่บนยอดหญ้าของฤดูหนาวได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นเป็นวันแรกที่ “ฉัน” ได้ลืมตาดูโลก
ฉันเกิดในบ้านหลังเก่าๆของบรรพบุรุษฝั่งพ่อ เป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงตัวบ้านเปิดโล่งมีเพียงผ้าปูที่นอนเก่าๆเป็นฉากกั้นห้อง ประดับด้วยลูกกรงไม้แกะสลักอยู่ตรงระเบียงซึ่งคงจะเป็นสถาปัตยกรรมที่นิยมมากในสมัยนั้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขอสีคล้ำกระดำกระด่างบ่งบอกว่าบ้านหลังนี้คงมีผู้อยู่อาศัยมาร่วมร้อยปีผ่านมาแล้ว พ่อกับแม่ของฉันเป็นคู่แต่งงานที่หน้าตาดีที่สุดในหมู่บ้าน ในวันที่ฉันเกิดจึงมีคนทั้งหมู่บ้านแห่กันมามุงดูฉันพวกเขาพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “เป็นตาซังแท้” อ่ะ! อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้มีหน้าตาหน้าเกลียดน่าชังแบบที่พวกเขาพูดหรอก แต่เพราะความเชื่อโบราณห้ามทักเด็กว่า “น่ารัก” เพราะการชมเด็กจะไปเข้าหูพวกผีที่นิสัยไม่ดีแล้วผีพวกนั้นจะมาลักเด็กไปซ่อน ดังนั้นต้องชมว่า “น่าเกลียดน่าชัง” ผีพวกนั้นจะได้ไม่สนใจและมองหาเหยื่อรายใหม่ต่อไป
ฉันถูกทำคลอดโดย ‘แม่หมอคำดี’ผดุงครรภ์ที่มีอยู่คนเดียวในอำเภอ แม่ “อยู่กรรม” หรือเรียกอีกอย่างว่า “การอยู่ไฟ” ทั้งหมดรวมยี่สิบแปดวัน ห้องอยู่กรรมนั้นใช้บริเวณส่วนหนึ่งของห้องครัว มีกองไฟที่ติดฟื้นอยู่ตลอดเวลาและตั้งหม้อนึ่งข้าวใบเก่าที่มีสมุนไพรและน้ำต้มให้เดือดอยู่ในหม้อทั้งวันทั้งคืน ในห้องแคบๆนั้นยังมีแคร่ไม้ไผ่ขนาดเตียงนอนได้หนึ่งคนไม่มีฟูกนอนมีเพียงหมอนกับผ้าห่มผืนบางๆไว้คลุมเวลานอนเท่านั้น แม่ต้องกินข้าวกับเกลือเพราะผู้เฒ่าผู้แก่เชื่อกันว่าเกลือจะไปทดแทนเกลือที่สูญเสียไปทางเหงื่อจากการอยู่ไฟ และต้องกินน้ำร้อนต้มสมุนไพรที่อยู่ในหม้อนึ่งบนเตาแทนน้ำเปล่าทุกวันและอาบน้ำได้เฉพาะน้ำร้อนเท่านั้น โดยห้ามบ่นว่าร้อนเด็ดขาดถ้ามีใครทักว่าร้อนถือว่าคะลัมเป็นลางไม่ดีอาจมีผื่นขึ้นตามร่างกายได้ ส่วนฉันนะหรอนอนอยู่บนเบาะยัดนุ่นสีเหลืองสดมีดอกไม้สีแดงดอกเล็กๆประดับพอจุ๋มจิ๋มที่แม่ทำขึ้นมาด้วยมือตัวเอง
ในแต่ละวันฉันจะมีผู้คนมากมายมาจ้องมองและทำหน้าตาทะเล้นแปลกๆใส่เหมือนพวกเขาคิดว่าฉันจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาสื่อสาร เอาเหอะ! ฉันโต้ตอบอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ ทำสิ่งที่พวกเขาสบายใจต่อไปเถอะตอนนี้ฉันคงทำได้แค่มองตาปริบๆเท่านั้น ย่าเป็นคนเอาตะกร้าเล็ก ๆ ที่สานด้วยไม้ไผ่ฝีมือปู่ไปแขวนไว้ที่บันได้ทางขึ้นบ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้คนผ่านไปผ่านมารู้ว่าบ้านนี้มีคน”อยู่กรรม” และเป็นความเชื่อแต่โบราณที่ว่าตะกร้านี้จะปัดเป่าสิ่งรังควาญออกไปได้ เมื่อมีคนแวะมาเยี่ยมแม่และมาจ้องมองฉันเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งเคยพบเจอบนโลกใบนี้สลับกับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปบางครั้งก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิยายที่ฟังมาจากละครทางวิทยุ พวกเขาทุกคนจะได้รับการต้อนรับเป็นถ้วยใส่น้ำร้อนจากหม้อนึ่งคนละหนึ่งชามซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะซดกินจนหมด
ตอนนี้ฉันนอนเหยียดแข้งเหยียดขาดวงตาจ้องมองขึ้นไปบนเพดานและหัวเราะออกมาเต็มที่พลางคิดว่า ‘บัดนี้ ชีวิตใหม่ของฉันเริ่มต้นขึ้นแล้ว
